ถ้าพูดถึงนางเอกลิเกชื่อดัง แน่นอนว่าต้องมีชื่อของ แอน มิตรชัย อดีตนางเอกลิเกคณะมิตรชัยที่มีคนจองคิวงานนานข้ามปี

เมื่อถึงจุดหนึ่ง แอน มิตรชัย ได้โบกมือลาตำแหน่งนางเอกลิเกเบอร์ 1 ก้าวตามความฝันของตัวเอง กลายเป็นนักร้อง นักแสดงของ Bollywood ที่ อินเดีย

ชีวิตกำลังรุ่ง ชื่อเสียงในต่างชาติกำลังปัง งานมีจ่อคิวอีกเพียบ แต่ร่างกายกับทรุด ทำให้ต้องหยุดทำงานทันที เมื่อเรามีโอกาสได้เจอกับ นักร้องนักแสดงและ นางเอกลิเกชื่อดัง จึงได้มานั่งพูดคุยถึงชีวิตที่ผ่านมาของเธอ
โดย แอน เผยว่า “เราเป็นครอบครัวลิเก เราเล่นลิเกกันตั้งแต่ห้าขวบ เราเล่นมาแล้วทั่วประเทศเพราะเราเล่นทุกวัน แอนก็จะใช้ชีวิตเล่นลิเกตอนเย็น ตอนเช้าไปโรงเรียนจนจบปริญญาโท แอนถือว่าเราประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็กตอนที่อายุ 20 ยังเขียนโน้ตไว้เลยว่า

วันนี้มีทุกอย่างแล้ว มีบ้าน ซื้อรถ มีเงินฝาก มีหลายคนถามว่าแอนไม่รู้สึกขาดเลยเหรอ เด็กคนอื่นเขาไม่ได้อยากทำงาน เลิกเรียนเขาก็ไปเล่น แต่แอนไม่ได้โหยหาชีวิตตรงนั้น ซึ่งเราได้คำตอบนี้ตอนที่เราโตแล้วว่า เรารักพ่อแม่ เรารักครอบครัว เรารักโดยที่เราไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เราทำแบบนี้ทุกวันเรามีความสุข สุขที่เราได้อยู่บนรถ กิน-นอนบนรถ มันใช้ความรักอย่างเดียวเลย

มันก็เลยทำให้แอนและพี่เอทำงานมาได้ แล้วเรา 2 คนไม่ใช่เลี้ยงแค่ตัวเอง แต่เราเลี้ยงทั้งครอบครัว ญาติพี่น้องเราปลูกบ้านให้หมด เราหาเงินกลับมาเลี้ยงเด็กกำพร้าและเด็กยากจนอีก 3000 คน หลายคนยังเข้าใจผิด จากนางเอกลิเกแอนก็ได้มาบริหารคณะลิเกอย่างเต็มตัวต่อจากคุณพ่อ เป็นผู้กำกับและเขียนบท”

อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ก้าวออกจากวงลิเก มาเป็นนักร้อง?
“มันมีครบ เราเริ่มอิ่มตัว แอนอยากที่จะเริ่มไปตามฝันของตัวเองให้เร็วหน่อย อยากที่จะกระเถิบเลเวลค้นหาจุดสุดขีดของตัวเองว่าความสามารถของเราไปทำอะไรได้อีกบ้าง ในเรื่องของลิเกมันมาสุดทางแล้ว ทุกคนก็รู้เราเป็นลีดอ๊อฟลิเก แต่เราอยากค้นหาขีดจำกัดของตัวเองว่าเราสามารถไปได้อีกไหม แอนไม่ได้ไปแข่งกับอินเตอร์แต่แอนเอาวัฒนธรรมไปด้วย แอนเต้นอินเดียแอนก็จะรำไทย ร้องอินเดียแอนก็จะร้องไทยไปด้วย”

ไป Bollywood พร้อมกับคาดหวังของหลายคน?
“แอนจากบ้านเกิด ไปจากเวทีที่ทุกอย่างมันมั่นคงอยู่แล้ว แต่วันหนึ่งเปลี่ยนสถานที่อยู่ มันเหมือนคนเปลี่ยนชีวิตใหม่ แอนรู้ว่าหลายคนคาดหวัง แต่ถึงจุดหนึ่งแอนก็ต้องมาถามตัวเองว่าแล้วแอนมีความหวังอะไร แอนรู้ว่าทุกคนคาดหวังอะไร ไม่อยากให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจคำว่าโกอินเตอร์ ต้องไปเหมือนเขา

พอไปอยู่จุดนั้นจริงๆ วัฒนธรรมมันสูงมาก วงการเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ของอินเดียมันไม่ใช่แค่เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ แต่มันเป็นจิตวิญญาณ เราจะต้องโชว์ความเป็นตัวเองให้มากที่สุด เราใส่ส่าหรีได้ แต่เราก็อย่าลืมพกชุดลิเก มงกุฎของความเป็นวัฒนธรรมของเราที่มันสวยงามมาก แอนไปตอกย้ำให้เขารักประเทศไทยมากขึ้น”
นอกจากคนเชียร์แล้ว ก็ยังมีคนปรามาสว่าจะไปได้แค่ไหน มันยิ่งกดดันไหม?
“แน่นอนว่ามีคนกลุ่มนี้ ที่พูดว่า มันทิ้งลิเกไปมันจะไปสักกี่น้ำและอีกหลายๆ คนก็ซัพพอร์ต สิ่งที่แอนเสียใจมาก คือเราเล่นลิเกทุกวัน อยู่กับครอบครัวทุกวัน พอไปอยู่อินเดีย แอนร้องไห้ทุกวัน เราคือผู้กำกับเราคือแม่ลีแม่แรดอยู่หลังเวทีวิ่งจนผ้าปลิว ทุกคนชินกับภาพของแอนที่มีแอนคอยบอกคอยทำนู่นนี่ แต่วันนึงไม่มีแอน ทุกคนตรงนั้นใจเสีย ไปตอนแรกเราก็เป็นทุกข์ด้วย อยากทำความฝันก็อยากทำ เคยคิดถามตัวเองว่า ‘ฉันมาทำอะไรตรงนี้หว่า เล่นลิเกก็ดีอยู่แล้ว’ แต่ก็สู้ ในเมื่อสิ่งที่เรามี เราได้ทำมันจบไปแล้ว เราก็อยากที่จะหาเวอร์ชั่นเราในแบบใหม่ ตอนนั้นมีหลายคนที่ไม่เข้าใจ จะถูกต่อว่า มันทิ้งลิเกแล้ว แต่แอนก็ทำให้คนได้เข้าใจช่วงที่แอนกลับมาทำลิเกเดอะมิวสิคเคิล แอนไม่ได้ทิ้งลิเกนะ แอนทำให้ครอบครัวทั้งสองซีซั่นว่าลิเกไปอยู่ในจุดที่ไม่มีใครไปถึงตรงนั้นแล้ว”

ไป Bollywood ปุ๊บ ภาพแอน มิตรชัย เปลี่ยนเซ็กซี่ โดนติเพียบ?
“ตอนนั้นโดนเยอะ เพราะว่ามันไปบิกินีเลย มันไปอยู่ภายใต้ของ T-Series บริษัทค่ายเพลงและสตูดิโอภาพยนตร์ของอินเดียที่ใหญ่อันดับหนึ่งของโลก แต่เราก็ไม่ได้รู้เพราะว่าในบริษัทเขาวางให้เราไว้หมด มันเหมือนเป็นการจุดพลุ ใน Bollywood ดาราจะลิปซิงค์ไม่ได้ใช้เสียงตัวเองแอนเป็นคนแรกที่ร้องเองเล่นเองและลิปซิงค์เสียงตัวเอง

แรกๆ กังวลกลัวมันจะออกมายังไง คิดว่าโดนแน่ยังไงก็ต้องโดนแน่และคนที่กลัวที่สุดคือคุณพ่อ เพราะว่าเราเพิ่งจากพ่อแม่ยังมีความกังวลเรื่องคุณพ่อเรื่องแฟนลิเก แต่แอนคิดว่าถ้าเกิดทำออกมาสวยมันไม่น่าที่จะมีปัญหาก็เลยลองดูลองแนวใหม่ดู กล้าได้กล้าเสียในไหนเราก็ไปแล้ว สุดท้ายมันออกมาสวย ไม่ได้ออกมาเป็นแง่ลบ เพลงติดชาร์ตที่ Bollywood ทำให้โพซิชั่นของแอนเกิดขึ้นโดยรวดเร็ว”
กำลังไปได้สวยทำไม ไม่เล่นหนังต่อ?
“จริงๆ มันมีภาพยนตร์ต่อ แอนอ่านบทแล้วก็อยากเล่น แต่แอนไม่ให้ภาพไปทางนั้นเพราะว่าเราเปิดด้วยบิกินีแล้ว คือมันมีฉากที่ต้องเปลือยด้านบน เราก็กลัวว่าเดี๋ยวเราจะรับไม่ไหว เพราะว่างานมันก็อยู่แบบนั้น มันแก้ไขอะไรไม่ได้ มันจะอยู่ตลอดชีวิต เดี๋ยวคนก็จะมองว่าผู้หญิงไทยเล่นแบบนี้อีกแล้ว เล่นภาพยนตร์ทำไมต้องรับบทแบบนี้เป็นแบบนี้ ก็ไม่เป็นไรภาพยนตร์ไม่ต้องเล่นถี่นักก็ได้ ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น

ในอินเดียที่สำคัญคือทุกคนต้องมีเพลงที่มีเอ็มวีออกตลอด ตัวนี้จะออกทั้งวันทั้งคืน มันมีช่องนี้ให้ออกตลอด มันเหมือนเพลงดูมที่ยังคงอยู่ตลอด ดังยิ่งกว่าหนังอีก หนังเรายังจำไม่ได้เลยว่าเนื้อเรื่องมันเป็นอย่างไร นั่นคือการตลาดของอินเดีย อินเดียใครดังหนึ่งเพลงแล้วก็จะดังตลอดไป เราอยากทำในส่วนของเพลงมากกว่า เลยหันหัวเรือว่าไปอยู่ยูนิเวอร์แซลเพื่อที่จะทำอัลบั้มอินดี้ บางคนอาจจะไม่รู้อาจจะเสียดายคาดหวังแต่แอนขอเลือกแบบนี้ดีกว่าแอนเลือกไปแล้วมีเกียรติอาจจะช้าหน่อยแต่ขอให้ภาพจำเราไม่ได้ถูกบิดเบือนไปทางอื่น”
ไปได้สวยแต่ร่างกายไม่พร้อมที่จะเดินไปกับเราด้วย?
“แอนไปตั้งแต่ปี 2010 ถ่ายทำภาพยนตร์ทำเพลงอีก 3 เพลงที่เป็นเพลงประกอบของภาพยนตร์ ปี 2013 ภาพยนตร์และเพลงออกมา พอปี 2014 เข้ายูนิเวอร์แซล เซ็นสัญญา อยู่จนถึงปี 2016 หลังจากนั้นก็กลับมาช่วงโควิดตอนนั้นร่างกายไม่โอเค ตอนนั้นถ่ายเสร็จไปแล้ว 90% ร่างกายเราไม่ไหวแล้วมันยืนไม่ได้เลย มันวีคแล้วเราก็ยังฝืนทำอยู่ไม่ไหว ทุกอย่างมันกำลังเดินหน้า

แต่ร่างกายเรามันไปไม่ไหวแอนเซ็นสัญญาแล้วงานทุกอย่างมันไปได้สวยแต่ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว มันทำให้แอนตกชนิดที่เรียกว่าตกจากจิตใจลงไปแบบดิ่งเลย เลยรู้สึกแย่ทำไมมันต้องมาเป็นตอนนี้ ไม่ยอมรับ จนคุณหมอสั่งฟ้าผ่าว่าไม่ได้นะถ้าไม่หยุดจะต้องผ่ากล่องเสียงแล้วเสียงจะกลับมาได้หรือเปล่าเราไม่รู้มันอาจจะต้องหยุดไปอีกสามถึงสี่ปี เพราะว่ามันมีปัญหากับตัวสเตียรอยด์มานาน แอนก็เลยจำเป็นต้องหยุดคุณหมอเซ็นมาหรือว่าให้หยุดหนึ่งปี”

“มันยากที่จะทำใจเรารู้สึกว่าเราเสียโอกาสในชีวิตไปมันก็เลยเศร้ามันก็เลยดาวน์ไปพร้อมกับอาการป่วยแทนที่ว่าป่วยแล้วเราจะได้พักไม่ได้พักเลยหนักไปกว่าเดิมอีก พออาการไม่ดีก็ต้องให้ยาพอให้ยาปุ๊บน้ำหนักขึ้นน้ำหนักพุ่งไปถึง 80 โลซึ่งไม่มีใครเห็น แอนเก็บตัวไม่ได้อยู่ไทย บินไปอยู่ต่างประเทศกับแฟน ตอนนั้นก็มีปัญหากับแฟนแล้วทุกอย่างมันเป็นช่วงนาทีชีวิต คนไทยโบราณจะต้องถามว่ามึงโดนของหรือเปล่า ตอนนั้นก็ไม่ได้กล้าบอกด้วยเหตุผลหลายประการว่าเรายุติความสัมพันธ์เพราะว่าคุณแม่ก็เชียร์ทุกคนก็เชียร์ คุยกันว่าอีก 4 ปีเราจะแต่ง”

แอนเล่าต่อว่า “จุดที่เปลี่ยนไปเลยคือเราต้องยอมรับว่าเราทำงานต่อไม่ได้ ต้องยอมรับที่ใจเราก่อนว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ เพราะว่าถ้ายิ่งฝืนคิดว่าอีกสองเดือนสามเดือนเราจะหายแล้วมันไม่หายเรายิ่งแย่ ‘เลยคิดไปเลยว่าตายไปแล้ว’ นี่คือจุดพลิกที่สุดที่แอนเริ่มไม่ไหวกับตัวเองแล้ว

เลยบอกกล่าวสิ่งที่เป็นครูบาอาจารย์ที่เรานับถือมาตลอดบอกท่านว่า ถ้าพ่อจะให้หนูยุติแค่นี้ หนูก็ขอยุติงานเบื้องหน้าแค่นี้ ในเมื่อร่างกายมันไม่ไปด้วยก็เอาเท่านี้ แสดงว่าปาฏิหาริย์ที่เราได้มามันก็ได้มาเท่านั้น ตอนนี้สภาพร่างกายเรามันแย่มาก หนูคงทำงานเบื้องหน้าไม่ได้คงต้องยุติลงไปทำเบื้องหลัง

เรายังสร้างประโยชน์สร้างรายได้ทำเบื้องหลังอาจจะมีรายได้สูงกว่าด้วย แล้วแอนมีเครือข่ายมีคอนเน็คชั่นส์ คิดใหม่ทำใหม่ช่างมันไม่เป็นไรไม่ต้องซีเรียสเดี๋ยวทำใหม่ พอไปจุดธูปบอกว่าจะเลิกทำแอนมีอาการดีขึ้น”
เรื่องความรักตอนนี้มีหนุ่มๆ เข้ามาบ้างไหม?

“โสดเป็นพักๆ มีคนเข้ามาตลอดแต่ว่าพอจะออกจากเซฟโซนก็รู้สึกหวงความเป็นส่วนตัว เพราะเราอยู่ตรงนี้นานนานเราจะเริ่มชินกับการอยู่คนเดียวไม่รู้ว่าตัวเองปิดกั้นไหม ถามว่ามีคนคุยไหมก็มีนะ เขารอถึงขนาดที่ว่าถ้าเกิดอยากแต่งงานก็บอก เป็นหนุ่มต่างชาติค่ะ เขาก็ชัดเจนแต่เราก็ก็ยังไม่ได้เปิดใจ100% เพียงแต่ว่าก็เรียนรู้เพราะว่าชีวิตตัวเองก็ยังไม่แน่นอน มันปั่นผวนบ่อย เราก็เลยรู้สึกว่าความไม่แน่นอนมันอยู่ล้อมตัวเรา เป็นเพื่อนกันได้ในระดับนึงก็โอเค ถ้าไม่ต้องมีลูกอีกก็โอเค แต่ถ้าต้องมีลูกก็ไม่เอา ถ้าอยู่กันได้ในแบบเพื่อนกันก็ได้ค่ะ”