รู้หรือไม่? การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายเพียงเล็กน้อย ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติในร่างกายได้ หากใครมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อป้องกันภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตในอนาคต
เหนื่อยหรืออ่อนเพลียบ่อย

รู้สึกอ่อนล้า ไม่สบายตัว หมดเรี่ยวแรง อ่อนเพลียบ่อยทั้งในตอนตื่นนอนและระหว่างวัน หรือมีปัญหาในการนอนหลับสะสมยาวนาน 6 เดือน อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า “มีภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง” ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุ แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน เช่น การติดเชื้อไวรัสมาก่อน ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ การขาดสมดุลของฮอร์โมน ปัญหาสุขภาพจิต
เจ็บหรือแน่นหน้าอก

เจ็บหน้าอกอย่างกะทันหัน และเป็นระยะเวลานาน มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก หรือเจ็บหน้าอกและร้าวไปถึงบริเวณหัวไหล่ อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติ โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับหัวใจ
อาการชากะทันหัน

อาจเป็นอาการของโรค หรือสัญญาณแรกของโรค เช่น อาการชาจากการขาดวิตามิน จากโรคเบาหวาน อาการชาที่เกิดจากบางสาเหตุ หากทิ้งไว้อาจทำให้เกิดการเสียหายของเส้นประสาทอย่างถาวร และหากมีอาการชาด้านเดียวของร่างกาย อาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง
อาการชาที่มีลักษณะร่วมอื่นๆ ที่ควรพบแพทย์ อาการชาที่มากขึ้นเรื่อยๆ มีอาการในตำแหน่งอื่นเพิ่มขึ้น, เสียการทรงตัว, มีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย, มีอาการผิดรูปหรือมีแผลร่วมด้วย, มือเท้าร้อนหรือเย็นผิดปกติ
การขับถ่ายผิดปกติ

เช่น ท้องร่วง ท้องผูกที่ยาวนานกว่า 3 สัปดาห์ มีอาการถ่ายยากติดต่อกันนานเป็นเดือน ถ่ายเป็นเลือด หรือพบถึงการเปลี่ยนแปลงของสีอุจจาระเพียงเล็กน้อย หมายถึงการเกิดความผิดปกติภายในระบบทางเดินอาหาร อาจเป็นสัญญาณมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

มีสาเหตุได้หลายปัจจัย ทั้งปัจจัยที่ไม่รุนแรง อย่างความเครียด หรืออาจเป็นสัญญาณแรกเริ่มของโรคบางชนิดที่ต้องได้รับการรักษา โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ, โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน, มะเร็ง, โรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ เป็นต้น
อารมณ์ซึมเศร้า

หากรู้สึกเศร้า หมดหวัง และหมดความสนใจในสิ่งที่เคยชอบ ไม่มีสมาธิ หรือจดจำสิ่งต่างๆ ได้แย่ลงยาวนานกว่าสองสัปดาห์ จนกระทบการดำรงชีวิต หรือมีความคิดทำร้ายตัวเอง ควรปรึกษาจิตแพทย์
ไอเรื้อรัง

การไอติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์ สัญญาณของการเกิดโรคมากมาย ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ หรือภาวะอื่นๆ เช่น ภูมิแพ้ หลอดลมอักเสบ หอบหืด รวมไปถึงภาวะที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ภาวะกรดไหลย้อน ภาวะหัวใจวาย เป็นต้น
ปวดศีรษะเรื้อรัง

อาการปวดหัวมากกว่า 15 วันต่อเดือน ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน อาจมีสาเหตุมาจากความเครียด โรคไมเกรน โรคซึมเศร้าหรือการใช้ยาแก้ปวดไม่ถูกวิธี
อาการปวดหัวที่ควรไปพบแพทย์ ปวดหัวรุนแรงขึ้นทันที, ปวดหัวร่วมกับมีไข้ และคอแข็ง, ปวดหัวร่วมกับอาการทางระบบประสาทผิดปกติ เช่น แขนขาอ่อนแรง สับสน มีบุคลิกภาพที่เปลี่ยนไป เป็นต้น, ปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ ทานยาแล้วไม่หาย
ปวดท้องเรื้อรัง

มีอาการปวดท้องนานกว่า 3 เดือน สามารถเกิดจากโรคที่ไม่รุนแรง เช่น ท้องผูก อาหารไม่ย่อย ไปจนถึงการเป็นโรคที่รุนแรง เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบเรื้อรัง มะเร็งลิมโฟมา นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น
มีเลือดออกผิดปกติ

สังเกตได้จากการเกิดจ้ำเลือดตามผิวหนัง บางรายอาจอาเจียนออกมาเป็นเลือดหรือถ่ายเป็นเลือด รวมถึงการมีเลือดออกทางช่องคลอดนอกรอบประจำเดือน โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีเลือดออกผิดปกติมักมีอาการอ่อนเพลียร่วมด้วย
อาการที่ควรพบแพทย์ รู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่มีเลือดออกใต้ผิวหนัง, มีเลือดออกจากแผลเปิดค่อนข้างมาก, ผิวหนังที่มีเลือดออกมีสีคล้ำขึ้น, มีอาการบวมที่ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า, มีเลือดออกจากเหงือก จมูก ปัสสาวะ หรือในอุจจาระ
ที่มา nakornthon, samitivejhospitals, bumrungrad