เส้นทางชีวิต อั้ม อธิชาติ เจ้าของฉายาว่าพระเอกปากแดง

ถ้าพูดถึงพระเอกดังในยุค 90 ที่ได้รับฉายาว่าพระเอกปากแดง แน่นอนว่าทุกคนต้องคิดถึง อั้ม อธิชาติ ชุมนานนท์ ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวหันหลังให้งานแสดงไปถึง 10 ปี ผันตัวไปเป็นนักธุรกิจเต็มตัว เป็นเจ้าของแบรนด์

เป็นนักแสดงคือเป็นพระเอกเบอร์ต้นๆ อะไรที่ทำให้เรารู้สึกผันตัวดีกว่า?

“ต้องบอกว่าเห็นการเปลี่ยนแปลงของวงการโทรทัศน์ในช่วงนั้น และเห็นหลายๆ ธุรกิจเกิดขึ้นมา เพราะจริงๆ ในช่วงประมาณ ปี 57-58 ธุรกิจต่างๆ มันเริ่มเข้ามาเร็ว ไม่ว่าช่องเองก็มีดิจิทัล จาก 3 5 7 9 กลายเป็นดิจิทัลเยอะมากมาย

และเริ่มมีแพลตฟอร์มที่มันเป็นออนไลน์โซเชียลต่างๆ เห็นช่องทางสื่อสารของคนเริ่มมีอิสระมากขึ้น อย่างที่สอง ช่วงอายุก็ประมาณสามสิบกว่าๆ 35-36 อยากเรียนรู้การทำธุรกิจ โดยเอาประสบการณ์ของตนเองเป็นที่ตั้ง เลยค่อยๆ ผันตัวเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดเอง งานเกี่ยวกับงานอีเวนท์ จนเริ่มมาทำเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ”

ตัดสินใจยากไหมกับการผันตัวในจังหวะที่ไม่มีคลื่นอะไรมากระทบที่ทำให้เราล้มลงได้ในวงการบันเทิง?

“ไม่ยาก ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นช่วงขึ้นหรือช่วงลง แค่รู้สึกว่าเป็นช่วงปกติ ที่เราพยายามค้นคว้าหาอะไรต่างๆ ถ้าบางทีเราอาจจะมองว่ามันอาจจะเป็นช่วงลงของการเป็นนักแสดงก็ได้ แต่เราแค่โฟกัสเป้าหมายว่า วันนี้ฉันกำลังตั้งใจอยากจะทำสิ่งใหม่ๆ ฉันอยากจะทำในธุรกิจที่เราชอบที่เรามีความรู้ประสบการณ์ประมาณนั้นมากกว่า

มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของทั้งวงการ ตอนนั้นมันเริ่มมีสัญญาณมาแล้ว คนดูมีอิทธิพลในการเลือกดูเลือกเสพเอง จนมาถึงยุคนี้ยุคปัจจุบัน กลายเป็นยุคที่เราอยากสื่อสารอะไรเราก็แค่กดโทรศัพท์โพสต์ ยุคมันเปลี่ยน จนเรามารู้สึกตัวอีกทีเรามองย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปี เราจะรู้แล้วมันเปลี่ยนมาไกลมาก”

ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ การใช้ชีวิต กับการที่เป็นพระเอกเบอร์ต้นๆตอนนั้น?

“ใช้ชีวิตในฐานะคนธรรมดาคนนึงที่เรามีอาชีพนักแสดงครอบอยู่ การมีอาชีพนักแสดงเป็นสิ่งที่สอนเราว่ามีทั้งขึ้น มีทั้งลง เพียงแต่ว่าคนเป็นนักแสดงเขาอยู่ข้างหน้า คนจะคอยจับจ้องตลอดเวลา จะขึ้น จะลงหรือจะทำอะไร แรงกดดันมันก็เยอะ นักแสดงมีคนสนใจเรื่องราวส่วนตัวเยอะ

แต่ส่วนนึงผมมองก็คือนักแสดงได้รับผลตอบแทนกับเรื่องราวที่ถูกนำเสนอมากขึ้นตามมา เพราะฉะนั้นบางสิ่งบางอย่างของนักแสดงเองต้องมีความอดทนมากขึ้นกับสิ่งต่างๆ รอบตัว และอีกอย่างนึงคือการเป็นนักแสดงเราก็ได้เรียนรู้ชีวิตคนมากขึ้น เอาอย่างง่ายๆนะ  

เราอยู่ในกองการที่เรารับบทนักแสดง รับบทคาแร็กเตอร์ต่างๆ เราต้องศึกษาชีวิตคน พอทีนี้เราศึกษาชีวิตคนแล้วเจอความเป็นจริงของชีวิต ช่วงอะไรที่เราไม่ชอบ ในสมัยก่อนก็ต้องบอกว่าเราก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับสื่อค่อนข้างเยอะ เพราะเด็กๆ เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราพูดแบบนี้ แต่ความเข้าใจเป็นแบบนี้ เราพยายามอธิบายความจริงเป็นเเบบนี้ แต่ทำไมคนไม่เข้าใจ จนพอเรื่องราวเหล่านี้พอตกผลึก มองอีกด้านนึง เราก็เลยเข้าใจชีวิตมากขึ้น ประมาณนี้ครับ”

เจอทุกอย่างมาเเล้ว ปาปารัสซี ดราม่าทุกอย่าง ผ่านพ้นมาหมดแล้ว?

“ใช่ ถ้ารุ่นยุค 90 ก็น่าจะผ่านมาเยอะ จริงๆ ก็เป็นข้อดี เพราะเราอยู่ระหว่างยุคกลางกับยุคใหม่ มันจะเจอของเก่าเป็นยังไง ของใหม่เป็นแบบไหน ยุคเปลี่ยนผ่านอะไรประมาณนี้”

ข่าวที่เจอมาสำหรับที่รู้สึกแย่กับเรา?

“ถ้าถามสมัยเด็กๆ คนก็จะมองว่า พี่อั้มเป็นเกย์หรือเปล่า ปากแดงหน้าขาว คือจริงๆ เจอมาตลอด เจอตั้งแต่ก้าวขาเข้าวงการครั้งแรกเลย และเจอเรื่องราวนี้มาตลอด แต่ถ้าในยุคนี้ หน้าขาวปากแดงคืออะไร สายวาย อย่างที่บอกเราเห็นกันเปลี่ยนผ่าน บางเรื่องมันไม่ได้มีเรื่องผิด เพียงแค่อยู่ถูกที่ถูกเวลาไหม

ถ้าในยุคก่อนผู้ชายที่มีลักษณะขาวปากแดงมีความหวานๆ พวกนี้อาจจะมองดูอีกแบบนึง แต่ในยุคนี้ไม่ใช่ ถ้าถามว่าข่าวที่เจออะไรคงจะเป็นเรื่องราวเหล่านี้ เพราะตอนเด็กๆ ต้องบอกว่าด้วยความที่เราเป็นผู้ชาย เวลาที่เราเจออะไรที่แบบคนมามองเราไม่ใช่แบบนั้น

เราจะเกิดคำถามว่าก็เราบอกแล้วว่าไม่ได้เป็น แล้วทำไมยังไม่เข้าใจอีก พูดจาก็แล้ว สื่อสารก็แล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ มีแฟนก็มากมายหลากหลาย คือเรียนรู้มนุษย์อย่างนึงว่า จริงๆ แล้วเขาอยากให้เป็นในสิ่งที่เขาต้องการ ความพึงพอใจความชอบ เขาไม่ได้อยากฟังสิ่งที่เป็น อยากแค่ฟังในสิ่งที่ตัวเองถูกใจ”

“เด็กๆ เคยถามนะ พอเจอมากๆ ถามว่าตกลง กูเป็นหรือเปล่าว่ะ คือเราไม่เป็นจนรอบข้าง ซึ่งเด็กทุกคนเป็นหมดกับการรับแรงกดดัน เราจะเห็นได้ว่าพอเด็กๆ เริ่มโตขึ้นมามีชื่อเสียง เจอคนรายล้อม เจอสิ่งต่างๆ ถ้ารับแรงกดดันไม่ได้มันจะเขว

ตอนเด็กๆ เคยถามตัวเองทำไมขนาดนั้น เราขาวปากแดงขนาดนั้นหรือมันจะเป็นหรือเปล่า ซึ่งมันไม่เคยจะมีความรู้สึกกับเพศที่เป็นเพศเดียวกัน ผมเชื่อว่าเด็กๆ ทุกคนมี เราก็เลยรู้สึกว่าก็มันไม่ใช่ เราก็เลยบอกว่าถ้าเป็นวันนึงเราจะบอก ไม่ต้องมาถาม มันไม่ใช่ไข้หวัดที่มันเป็นแล้วหายหรือจะกลับไปเป็นอีก

แล้วจริงๆ คนรายล้อมตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณมดดำ เราเจอกันตั้งแต่เด็ก แล้วก็สนิทกัน ต่อให้มีข่าวอย่างไร มีช่วงนึงข่าวหนักมาก เป็นแฟนคุณมดดำ แม้กระทั่งผู้ใหญ่ยังบอกว่าห่างๆ มดดำหน่อย เพราะว่าเขาเป็นแบบนั้น เราก็บอกว่าไม่ได้นี่คือเพื่อน เรารักกันแบบเพื่อน แล้วจะบอกวันนี้เราห่วงตัวเองแล้วต้องห่างจากเพื่อนหรอ ก็มันคือความบริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าเราจะไปไหนในเมื่อใจเราไม่มีอะไร ความเป็นจริงไม่มีอะไรแล้วทำไมเราจะต้องไประวังความคิดของคนอื่นที่เราเปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้”

ปัจจุบันเป็นยุคไร้พรมแดนทางเพศ?

“ใช่ เขาก็บอกเป็นยุคไร้ขอบเขตของพรมแดงทางเพศ ขอบเขตทางการสื่อสาร ยุคเดิมก็จะมีกรอบต่างๆ เอาง่ายๆ สมมติว่ายุคนี้เป็นยุคเปิด ถ้าผมเป็นผมคงเปิดไปแล้วแหละ แต่ก็คือมันไม่ใช่ ก็บอกเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรก เพราะผมก็พยามยามย้ำ อะไรที่ผมพูดแล้วว่า เป็นแบบนี้เป็นแบบนั้น ผมก็ยังยืนยังคำเดิมตลอดครับ”

พระเอกมันต้องคีพลุคตัวเองตรงนี้ กดดันไหม ?

“ด้วยความที่เราเป็นอย่างไร เราก็สื่อสารแบบนั้นอยู่แล้วก็เลยไม่ได้คีพ คือคนอาจจะดูว่าเราเงียบๆ หยิ่งๆ ดูแบบไม่ค่อยวุ่นวายกับใคร ซึ่งเราก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่รู้สึกว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเพื่ออีกมุมมองนึง

แต่ถ้าถามว่าต้องดูแลภาพลักษณ์มากกว่าปัจจุบันไหม เมื่อก่อนก็ใช่ เพราะเมื่อก่อนเวลาจะไหนมาไหนมันค่อนข้างไม่ได้เปิดกว้างแบบนี้ ความเข้าใจของคน แต่ในยุคนี้คือเป็นยุคของคนที่แบบมันสื่อสารจริง เรียล สื่อสารกันชัด เป็นสื่อสารตรง เพราะฉะนั้นจะแตกต่างในยุคนั้น”

เด็กที่มาในยุคนี้โชคดีกว่าในยุคเรา?

“ถ้าถามจริงๆ ผมก็ต้องบอกว่ามีดีคนละเเบบนะ อย่างยุคเมื่อก่อนเวลาเราจะไหนมาไหน มีความเป็นส่วนตัวกล้องยังไม่เยอะ ยุคนี้อะไรมันก็ต้องมือถือใครก็เห็น อะไรก็ต้องคอยพะวงว่าสังคมจะมองอย่างไร เพราะยุคทุกวันนี้ทุกคนติดการสื่อสารกับข้างนอก จนวันนี้ชีวิตตนเองไม่ได้มีเวลาไปดูตัวเอง ไม่ได้มีเวลาไปเห็นคนรอบข้าง ถามว่ามันดีไหม สื่อสารได้ง่ายก็ต้องระวังมากขึ้นเช่นกัน ผมคิดว่ามันมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน”

เป็นดาราผันมาทำทำธุรกิจต้องตรวจสอบขนาดไหน?

“ผมเป็นคนทดสอบทุกโปรดักต์เป็นคนแรกเสมอ ของมาจากโรงงานจะเข้าปากผมคนแรกเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภายนอกเองก็ตาม ผมเปรียบเทียบอะไรก็ตามที่มันออกจากเรา ด้วยความที่เราเน้นคุณภาพ เราชอบคัดของ

เพราะฉะนั้นเวลาของที่มันแนะนำผ่านเรา มันก็ถือว่าเป็นตัวตนเรานั่นเเหละ การเลือกพิถีพิถันของแต่ละอย่าง เอาจริงๆ เป็นคนกินง่ายแต่ทำยาก ของง่ายๆ แต่ต้องพิถีพิถัน ต้องคัดต้องเลือก เราก็เลยมองว่าโปรดักต์หรือแบรนด์ที่เป็นของเรามันคือตัวตนของเรา ฉะนั้นคนที่มองเราเชื่อใจเราในการที่เราจะบอกว่าอะไรดีหรือไม่ดี มันก็คือฝากให้เราคัดเลือกให้”

กว่าที่เราจะมีแบรนด์ตัวเองผ่านอะไรมาบ้าง?

“ผ่านมาเยอะ ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจแรกๆ มีพาร์ทเนอร์มีหุ้นส่วน ทำผู้จัดอะไรต่างๆ มากมาย ก็ผ่านการเรียนรู้มาเยอะ”

อะไรที่เราตัดสินใจเราเป็นเจ้าของแบรนด์เองดีกว่าที่จะมีพาร์ทเนอร์ด้วย หรือบางคนมีแค่หุ้นส่วนไม่เยอะ?

“ด้วยการที่เราทำธุรกิจมาหลายรูปแบบ มันมีทั้งข้อดีข้อเสียเเตกต่างกัน เมื่อวันนึงเราทำธุรกิจมามันก็มีการตกผลึกด้วยทั้งเรื่องของประสบการณ์ที่เราได้และทีมงาน โอกาสของตลาดที่มี เราก็เลยสามารถเรียกได้ว่าเราจะไปทางไหน และอีกอย่างด้วยความเป็นตัวตนของเรา เราก็เลยมองว่าเราเดินทางแบบนี้แหละ ทำที่แบบเป็นของเราคนเดียว เราเชื่อว่ามันมีโอกาสเติบโตได้ จริงๆ ตอนเริ่มผมเริ่มตั้งแต่ศูนย์ ก่อนนั้นเคยทำแบรนด์ที่มีพาร์ทเนอร์ แต่เราก็รู้สึกการมีพาร์ทเนอร์มันก็มีทั้งข้อดีมีทั้งข้องเสีย แต่หน้าที่ของเราคือ เรามีหน้าที่แก้ปัญหา ทุกธุรกิจคือธุรกิจการแก้ปัญหา ฉะนั้นแก้ปัญหาในระหว่างความต้องการของผู้บริโภค ความต้องการของคนในบริษัท

เมื่อเราเข้าใจส่วนนึง วันนึงเราเก็บเกี่ยวประสบการณ์เต็มที่แล้ว เราคิดว่าเราอยากจะสื่อสารในแบบเราคนเดียว ในแบบที่เราเป็นนี่เเหละ ก็เลยเป็น แบรนด์ อทิส อัมริท

เรื่องความรักโดนจับตาจับจ้องมาตั้งแต่เข้าวงการ คิดว่าความรักของตัวเองเป็นยังไงบ้าง?

“จริงๆ ความรักต้องบอกว่ามันก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุค ตามเวลา ตามประสบการณ์ ช่วงเด็กๆ อาจจะเป็นความรักที่ร้อนแรง ลุ่มหลง เป็นเรื่องปกติ มีแพชชันอยากรู้ พอในช่วงกลางๆ เราก็มองเป็นช่วงการเรียนรู้ การปรับตัว พอในช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่แบบเราก็เข้าใจในทุกอย่างความรักต่างๆ ก็ต้องบอกว่ามันสวยงามเสมอ ความรักเราอย่ามองด้านเดียวว่าจริงๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่ดี เรื่องที่ผิดหวัง ทุกความผิดหวังมันอยู่ในความรักอยู่แล้ว ความรักมันคือต้องมีทั้งทุกข์ใจเสียใจ ไม่เป็นดั่งตั้งใจ แต่ผมก็มองว่าทุกเรื่องมันส่งผลทำให้เราตกผลึกในทุกวันนี้ครับ”

Related posts

Leave the first comment