กับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง “เสือ” (2568) นักแสดงที่ต้องพูดถึงอีก 1 คนก็คือ “เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ” ที่มารับบทบาท “เสือฝ้าย” พี่ใหญ่ของกลุ่มที่ทุกคนต่างเคารพและเกรงขามฝีมือและอาคมทรงอานุภาพ โดย “ผู้พันเบิร์ด” (วันชนะ สวัสดี) ได้เคยเล่นบทนี่ไว้ ในเรื่อง “ขันพันธ์”

ครั้งนี้ได้มีโอกาสคุยกับ หนุ่มเวียร์ ถึงกับรับบทบาท เสือฝ้าย พี่ใหญ่ของแก๊งเสือ
คาแรกเตอร์ เสือฝ้าย ในเวอร์ชั่น ของ เวียร์ เป็นอย่างไร?
เป็น “เสือฝ้าย” ในวัยหนุ่ม เขามีความน่าเกรงขาม ภายนอกที่ทุกคนมองคือ “พี่ใหญ่” เป็นเสือที่ยิ่งใหญ่มากในยุคนั้น แต่ในเรื่องนี้ไม่ได้มาโชว์ความโหดความดุของเสือฝ้ายเพียงอย่างเดียว มันยังมีอีกมุมหนึ่งของเสือฝ้ายที่ทุกคนไม่เคยได้เห็นจากใน “ขุนพันธ์”

เป็นการเล่าเรื่องในวัยหนุ่ม เขามีความอ่อนโยนที่มันค่อนข้างคอนทราสต์มากกับสิ่งที่เราเคยเห็น ทำไมเขาถึงเป็น “ผู้ใหญ่ฝ้าย” หรือเป็น “ครูฝ้าย” ของเด็กๆ มันยากเหมือนกันสำหรับการตีความตรงนี้ เขามีหลายบุคลิก มีหลายหมวก พอเขาต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อให้คนเชื่อ เขาก็สามารถที่จะเป็นอีกคนคนหนึ่งได้
เสือฝ้าย ด้วยความเป็นพี่ใหญ่สุด เวลาเขาปล้นจะไม่ได้เน้นไปปล้นไปฆ่าคน แต่เขาเน้นอำนาจ เน้นปกครอง เพราะมันเหนือกว่าการปล้นไปวันๆ เขารู้ว่าการปล้นแบบนั้นมันไม่มีจุดจบ มันไม่ได้ทำให้เขามีอำนาจที่จะปกครองใครมากขึ้น แล้ววิธีการไหนที่จะทำให้สามารถต่อกรกับรัฐบาลได้ เป็นสิ่งที่จะเล่าในภาพยนตร์

โดยส่วนตัวผมไม่มีความกดดันกับบท “เสือฝ้าย” ที่เคยทำไว้ในหนัง “ขุนพันธ์” ที่ผ่านมา เพราะมันเป็นการเล่าคนละช่วงอายุกัน และเช่นเดียวกับนักแสดงเสือที่เหลือด้วย ทุกเสือในภาคนี้เป็นสีเทาเหมือนกันหมด แต่ว่าเทากันคนละเฉด แต่ละตัวจะมีเลเยอร์เป็นของใครของมัน
ทุกคนทราบกันดีว่าคาถาที่ “เสือฝ้าย” ใช้เป็นอาคมหลักคือ “คาถาตวาดหิมพานต์-วา โธ โน อะ มะ มะ วา วา” กระทึบเท้าทุกคนก็ปลิวกันไปหมด ศัตรูหรือมิตรใครก็ตามที่เราต้องการให้โดนอาคมก็จะปลิวกระจัดกระจายกันหมด เป็นอาคมที่ทุกคนกลัว ตอนเล่นผมก็เขินนะ ด้วยความที่ห่างจากการแสดงแนวแอ็กชันไปนานมาก แต่ถ้าเราเริ่มเชื่อในคาแร็กเตอร์นี้ มันก็จะไม่เขิน แถมรู้สึกว่ามันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ

ส่วนเรื่องความเชื่อ ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ “พี่โน่” (เสือดำ) บอกว่าเราต้องเชื่อบ้างเพื่อให้มันสนุกขึ้น คาถามันดูเวอร์ๆ แต่กับเรื่องนี้ผมก็เชื่อนะ ผมว่าคนไทยมีความเชื่อเรื่องพวกนี้ ไม่งั้นเราจะมีรอยสักลงยันต์อะไรกันขนาดนี้เหรอ ไทยเรามีคาถา มีมนตร์ มีเรื่องมากมายให้เราเห็น
จนทุกวันนี้ ถ้าผมไม่เชื่อเลยเวลาเล่นมันจะเขิน ผมว่าในสมัยก่อนเขาอาจจะไม่ได้มีคาถาที่มันทำได้จริงแบบในหนัง ในหนังมันมีอรรถรส มันเพื่อความสนุก การแสดงพลังออกมาจากคาถาที่เราท่อง มันเติมความน่าเกรงขาม ถ้าเราเชื่อ สายตา การท่องคาถา และท่าทางของเราจะไม่ดูตลก ไม่เขิน”
ไม่ได้เล่นแอ็กชันมานาน กลับมารอบนี้เตรียมตัวอะไรบ้าง
“ผมผ่านฉากแอ็กชันมาค่อนข้างเยอะมาก ใช้เวลารื้อฟื้นไม่นาน พวกเรามีการไปซ้อมกันนอกรอบสองคิวเต็มๆ สำหรับฉากที่ต้องมาสู้กันเอง สู้กับโจรอื่นๆ ซึ่งเป็นฉากใหญ่ มันก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้เราระดับหนึ่ง ทุกทีมทุกตำแหน่งเขาก็เตรียมมาอย่างดีหมดอยู่แล้ว เรื่องของคิวแอ็กชัน เรื่องของความปลอดภัย มุมภาพต่างๆ ทำให้รู้สึกวางใจและสนุกมาก

4 เสือ เราใช้เวลาซ้อมด้วยกันทั้งวัน ทั้งอาวุธ ทั้งอาคม เพราะแต่ละคนก็จะมีความเป็นธรรมชาติของตัวเอง มีการสู้ มีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจน
ตอนที่แสดงผมสังเกตสกิลของแต่ละเสือ แล้วก็แซวแต่ละคน อย่าง “พี่เป้” (เสือใบ) เสก “กระสุนคต” ออกมา สกิลมันเจ๋งมาก กระสุนคตออกไปจากเสือใบ จบกลับมาที่เสือใบ หล่อมาก แรกๆ ก็ชอบ หลังๆ เริ่มแซวละ เป้มันเท่เกินไปว่ะหมั่นไส้

เราเหนื่อยบนการทำงานที่ยังสนุก เรามองไปข้างหน้า มองทุกคนรอบๆ มันก็เหนื่อยกันหมด และพร้อมที่จะเหนื่อยไปด้วยกัน เอาเป็นว่าทุกคนเล่นจนกันลืมเหนื่อย และการทำงานภาพยนตร์สมัยนี้มันไม่ได้ทำกันเลือดตาแทบกระเด็นแบบสมัยก่อน มันมีสเปเชียลเอฟเฟกต์ มีอุปกรณ์ที่มาซัพพอร์ต มีทีมสตันต์ที่ดีที่คอยสอนคอยเซฟตี้”
พูดถึงการทำงานกับ 3 เสือ (เป้ อารักษ์, มาริโอ้ ,โตโน่ ภาคิน)?
“สำหรับผมการที่ได้ร่วมงานกับ “เป้-โอ้-โน่” ผมเรียกว่าเป็นระดับอาจารย์นะครับ ทุกคนผ่านอะไรกันมาหลายอย่างแล้ว หลากหลายสไตล์ “พี่เป้” เป็นอีกคนที่ผมเรียกเขาว่าพี่ได้เต็มปาก เขาเท่ เซอร์ เวลาคุยกันในกองรู้สึกว่าคุยกันรู้เรื่อง เหมือนคุยภาษาเดียวกัน แต่กระสุนคตเขาเท่เกินไป ตรงนี้แหละครับที่ติดใจนิดหน่อย

ส่วนโอ้ เขาเป็นคนสนุกสนาน พอเรื่องนี้มีโอ้แล้วรู้สึกว่ามันชื่นใจ ขนาดเราเป็นผู้ชาย ยังรู้สึกว่าไอ้หนุ่มคนนี้มันมากด้วยเสน่ห์ โอ้กลายเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ มุมมืดๆ ของ “เสือ” จะโหดแค่ไหน แต่พอหันมาทางโอ้คือสว่างวาบ “เสือมเหศวร” จะเป็นใครไม่ได้ต้องเป็น “มาริโอ้” เท่านั้น ตอนอยู่ในกองพวกเราคุยกันเรื่องรถ ไม่ค่อยคุยเรื่องงานกันเลย

พี่โน่ เป็นคนที่เงียบๆ เวลาเล่นกัน เขาจะมาถามว่าอย่างนี้ดีไหม ผมเล่นแบบนี้เอาไหม เขาทำการบ้านกับคาแร็กเตอร์ของเขามาจนอิ่มตัวแล้วกับบท “เสือดำ” มันมาส่งผลให้เราเข้าถึงตัวละครมามากๆ แต่ละคนมันมีวิธีการเข้าถึงตัวละครไม่เหมือนกัน โน่ก็มีวิธีของเขา เราก็มีวิธีของเรา ก็จะคุยกันว่าจะเป็นแบบไหน บางทีโน่เข้าลึกในตัวละครจนอินมากๆ เขาก็จะมาพูดกับเราให้เข้าใจ ทำงานแล้วก็สบายใจครับ ไม่มีปัญหาเลย”

กับ “หลิน มชณต” ที่รับบท “รสริน”
ด้วยความที่ส่วนใหญ่ตัวละคร “รสริน” กับ “เสือฝ้าย” ไม่มีซีนแอ็กชันร่วมกันเท่าไหร่ แต่ทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์ในอีกรูปแบบหนึ่งมากกว่า ฉะนั้นก็จะเกิดซีนดราม่าร่วมกัน เป็นเรื่องราวที่ต้องคุยกันในเชิงลึก “หลิน” เขาก็เป็นนักแสดงอีกคนที่ทำการบ้านมาดี ได้ทั้งบทบู๊ เต้น ดราม่า ครบรส เขาต้องเข้ากับ “เสือ” ทุกคน

เขาจะมีวิธีที่จะหวานกับใคร แกร่งกับใคร อยู่ภายใต้ใคร และเหนือใครได้ ในคาแร็กเตอร์เขาคือมีความเด็ดเดี่ยว แต่ก็อ่อนไหวตามประสาผู้หญิง มีเรื่องราวลึกลับที่ซ่อนปมชีวิตเขาอยู่ ในบทของรสรินต้องเป็นคนที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี รู้ทางหนีทีไล่ ฉะนั้นตัวละครตัวนี้ต้องหาผู้หญิงที่ครบรส”
ในเรื่องนี้มีซีนไหนอลังการจัดเต็มบ้าง
“ต้องถามว่าซีนไหนไม่ใหญ่บ้าง ตั้งแต่เริ่มเปิดกล้องจนถึงวันนี้ใหญ่ทุกซีนอย่าง “ซีนเปิดตัวท่านจอมพล” นักแสดงร่วมก็เยอะมากๆ พี่ๆ นักแสดงสมทบกว่า 200 ชีวิต เป็นฉากที่รวม “4 เสือ” น้องวงโยธวาทิตมากันทั้งขบวน กี่รถบัสที่ต้องขนกันมาวันนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ เราไม่ได้รวมเฉพาะแค่ “4 เสือ” ยังมีอีกหลายท่านที่เป็นตัวละครรุ่นเดอะ มีทั้งนักดนตรี นักร้องจริงๆ ทุกคนคือแบบถูกอัดแพ็กรวมอยู่ในเรื่องนี้ เซอร์ไพรส์เยอะมาก ฉากแอ็กชันก็เยอะมาก โจรสู้กับโจร มันไม่มีกฎระเบียบ ไม่มีวาระ แล้วเสือก็เยอะกว่า 4 เสือตัวหลัก โจรเป็นก๊กเป็นเหล่า ไหนจะทหารอีก มันเยอะมากครับพูดไปก็ไม่หมด ต้องเข้าไปชมกันนะครับ เข้าฉายอยู่ตอนนี้”



