ถ้าพูดถึงละครจักรๆ วงศ์ๆ ทุกคนจะต้องนึกถึงละครพื้นบ้านตอนเช้าของค่าย 3 เศียร ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง เรื่องซ้ำบ้าง เรื่องใหม่บ้าง แต่ความสนุกไม่เคยลดลง
ผู้กำกับที่สร้างสรรค์ความสนุกให้กับละครจักรๆ วงศ์ๆ ตอนนี้ก็คือ “หนำเลี๊ยบ” ภิพัชพนธ์ อภิวรสิทธิ์ ซึ่งเราได้มีโอกาสมาพูดคุยถึงเส้นทางกว่าจะมาเป็นผู้กำกับละครละครจักรๆ วงศ์ๆ มือทองอย่างทุกวันนี้

“ผมมาจากเด็กบ้านๆ ธรรมดา วันนึงได้เข้ามาเล่นละครเรื่องแรก “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” เล่นเป็น “หนำเลี๊ยบ” เลยได้ชื่อนี้มาจนถึงทุกวันนี้ แต่ก่อนก็เล่นเป็นตัวประกอบ ที่บ้านก็จน พอได้เข้ามาเล่นละคร ชีวิตก็เริ่มฝังอยู่กับการเล่นละคร พอเริ่มโต ทุกช่วงวัยก็ได้พ่อไพรัช สังวริบุตร ช่วยให้เราได้เล่นละคร เป็นตัวตามบ้าง พระเอกบ้าง ตัวประหลาดบ้าง

พอถึงช่วยวัยหนึ่งก็อยากที่จะเข้ามาทำงานเบื้องหลังก็เลยขอพี่ลอร์ด (สยาม สังวริบุตร) ซึ่งเขาก็ให้โอกาส ผมโชคดีอย่างหนึ่งช่วยวัยรุ่นที่เข้ามาได้สอนการแสดง เป็นพี่เลี้ยงนักแสดงใหม่ แล้วก็ขยับมาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ พอเราได้มีความรับผิดชอบมากขึ้น มันมีความสนุก”
จุดเริ่มต้นของการเป็นผู้กำกับ
“ช่วงจังหวะหนึ่งที่พี่ลอร์ดเปิดค่ายดีด้า แล้วเขาต้องยกทีมทั้งหมดไปถ่ายที่ เนปาล เขาหาคนมากำกับละครจักรๆ วงศ์ๆ ต่อ ผมก็เป็นตัวเลือกแรกที่ได้รับมอบหมายให้มาทำ ซึ่งหลังจากที่เขากลับกันมาจาก เนปาล เขาก็ยังให้ผมกำกับต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ เรื่องแรกที่ผมกำกับคือ มณีนพเก้า”

“ตอนที่เข้ามากำกับครั้งแรก ตอนนั้นชีวิตค่อนข้างที่จะสับสนมาก ตากล้องเขาก็อายุมากกว่าเรา ทำงานมาก่อนเรา และยังมีอีกหลายคนที่ทำงานมาก่อนเรา มีเพื่อนเราด้วย ผมต้องขอบคุณพวกเขา เพราะเขาจะคอยแกล้งผมตลอด พอถึงคิวถ่ายเขาก็ตั้งเครื่องปุ๊บพร้อมจะถ่ายปั๊บ เขาถอดสายออกหมดเลย เราก็ต้องมานั่งเซ็ตใหม่ มันเป็นแบบนี้บ่อยๆ มันมีหลายอย่างครับ

บางทีตัวละครบางคนเขาก็ไม่สนใจเรา มี “พ่อรอง เค้ามูลคดี” ให้กำลังใจ เขาบอกว่า “ไม่มีปัญหาเอ็งเป็นผู้กำกับ เอ็งต้องทำได้ มันไม่ถ่ายไม่เป็นไรตั้งกล้องไว้เดี๋ยวช่วยถ่ายให้” ปัญหาในกองถ่ายค่อนข้างเยอะ เพราะตอนที่เราเข้ามาเป็นผู้กำกับ เราก็ยังเป็นวัยรุ่น

ตอนนั้นนายก็ไม่รู้ถึงปัญหาในกองที่เราเจอ เพราะนายอยู่เมืองนอก ผมถึงขนาดว่าขว้างบัตรทิ้งเลยนะ ใครอยากทำก็ทำ แต่ผมไม่ทำ แต่จะมีคนคอยดึงกลับไปทำ เชื่อไหมนั่งร้องไห้ทั้งกำกับ กว่าจะมีวันนี้ก็เหนื่อยครับ เป็นแบบนี้ในช่วงแรกๆ เรื่องสองก็เริ่มเข้าขากันแล้ว

หลังจากนั้นก็ได้คุยกับพี่ๆ เขาคงอยากจะสอนงานเรา ถึงได้บอกว่าอยากจะขอบคุณเขาที่ทำให้ผมยืนตรงนี้ได้ ให้เราทำเป็นแทบทุกอย่าง เป็นผู้กำกับ ก็จัดไฟได้ ตากล้องได้ อย่างเรื่องมุมภาพก็จะมีคุณพ่อไพรัช สังวริบุตร จะคอยสอนบางทีก็จะมาสอนเงียบๆ ทั้งพี่หลุยส์-พี่ลอร์ด ทุกคนเป็นอาจารย์ผม”
