ทราบกันไปแล้วว่า “สเตฟานี อาเดรียนา อาบาซาลี นัสเซอร์” นางงามเวเนซุเอลา เป็นผู้คว้ามงกุฎจากการประกวดมิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่ 74 โดยสาวงามจากไทย “วีนา ปวีนา ซิงห์” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2025 ถึงจะได้คว้าอันดับหนึ่งมาครอง แต่เธอก็คว้าตำแหน่ง รองอันดับ 1 มิสยูนิเวิร์ส มาเป็นรางวัลให้กับตัวเอง

เส้นทางการประกวดนางงามของ วีนา นั้นไม่ง่ายเลย วีนา ปวีนา ซิงห์ ปัจจุบัน อายุ 29 ปี เธอเป็นคนไทยมีเชื้อสายอินเดีย เธอผ่านเวทีการประกวดเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ มาถึง 3 ครั้ง ก็ไม่สามารถไปถึงฝัน จนในปีนี้เธอตัดสินใจลงประกวดเป็นครั้งสุดท้าย และเธอก็สามารถคว้า มงกุฎมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ปี 2025 และเป็นตัวแทนสาวไทย ไปแข่งขันในเวที “มิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่ 74” ซึ่งเธอก็ทำผลงานได้ดี ด้วยการคว้า รองอันดับ 1 มิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่ 74 มาครอง

โดยก่อนที่ วีนา ก็เข้าประกวด “มิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่ 74” เธอได้เปิดใจถึงเรื่องราวความฝันของเธอการการเป็นนางงาม และประเด็นดราม่าที่ว่า เป็นตัวแทนคนไทยแต่ทำไมหน้าไม่เหมือนคนไทยเลย
8 ปี ที่ผ่านมา ทำไมเราถึงมีความฝันที่จะคว้ามงมิสยูนิเวิร์ส?
“ที่ผ่านมาวีนาประกวดเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์อย่างเดียว เพราะความฝันแรก อยากเป็น “มิสยูนิเวิร์ส” มันย้อนไปตั้งแต่สมัยปี 2015 เป็นปีที่เข้าเรียนที่ ม.ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นกระแสมิสยูนิเวิร์ส แรงมากๆ เพราะว่าประเทศไทยเปิดประตูเข้าท็อป 10 แล้ว

คนที่ได้ที่ 1 ปีนั้นคือ ฟิลิปปินส์ แล้วเขาประกวดมา 3 รอบ เขามาจากครอบครัวที่ได้ไม่ได้ร่ำรวย ไม่มีแรงซัพพอร์ตเยอะ แต่เขามีความอดทน สู้ มุ่งมั่น ทำให้เขาได้ มงกุฎ มันทำให้เรารู้สึกว่า มิสยูนิเวิร์ส ไม่ได้เลือกผู้หญิงที่สวยอย่างเดียว แต่เขาเรื่องผู้หญิงที่ส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้ และสามารถสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้ ก็เลยมองว่าตรงนี้คือที่สุดของการเป็นนางงาม หรือ มิสยูนิเวิร์ส ความงามมันไม่ได้สวยภายนอกอย่างเดียว มันต้องสวยจากภายในด้วย
และในองค์กร มิสยูนิเวิร์ส ในอดีตจะไม่ได้ต่อยอดในเรื่องของเอ็นเตอร์เทนเม้นท์มากแต่เขายังมีการสร้างแรงบันดาลใจตลอด และมาในยุคนี้เขาเน้นในเรื่องเอ็นเตอร์เทนเม้นท์มากขึ้น วีนาเลยรู้สึกว่ามันตอบโจทย์สิ่งที่ต้องการมองหากับคำว่าเป็นนางงาม”
ผ่านมา 3 เวที ไม่ถึงเส้นชัยสักที่ ท้อหรือถอดใจบ้างไหม?
“เยอะมาก ประกวดรอบแรกในปี 2018 ก็ไม่ได้คิดว่าจะกลับมาประกวดอีก เพราะว่ามันเหนื่อยตอนนั้นเรามาเองโดยที่เราไม่ได้มีทีมพี่เลี้ยงหรือใครส่ง เราก็ไปนั่งวินไปร้านชุดหอบ ทำเอาหมดเลย ทุกคนรู้ว่าการประกวดนางงามสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทีมซัพพอร์ต ซึ่งตอนนั้นเราไม่มีเลย ประกวดเสร็จรอบแรก เราก็คิดว่าตอนนั้นเราก็เก่งแล้วนะที่เราได้ที่ 4 โดยที่เราไม่ได้มีใครมาหนุนหลัง

ผ่านมาเรื่อยๆ มันก็อยู่ในใจเราตลอดเราอยากจะประกวดอยากที่จะทำให้ได้อยากเป็นตัวแทนประเทศไทยและก็อยากเป็นมิสยูนิเวอร์สเหมือนกัน เลยกลับมาอีกทีในรอบที่สอง ตอนประกวดรอบที่สองเสร็จ ก็อยากที่จะหยุด รู้สึกว่าสิ่งที่เราเจอมันไม่ได้หนักแค่ด้านร่างกายอย่างเดียวมันหนักด้านจิตใจด้วยเราต้องเจอกระแสต่างๆ ถมเข้ามา พลังลบต่างๆ ที่มากระทบเราตลอดเวลาและครอบครัววีนาก็เห็น มันกระทบกระเทือนจิตใจก็อยากที่จะหยุดซักพักนึง ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะแขวนส้นสูง
หลังจากนั้นก็ไปใช้ชีวิตเปิดบริษัททำงานต่างๆ แต่มันก็ยังอยู่ในจิตใจของเราบางวันตื่นขึ้นมารู้สึกว่าเราอยากที่จะลองประกวดอีกครั้งนึง เราอยากที่จะทำให้เต็มที่อยากลองอีกสักตั้งหนึ่งก็เลยกลับมาอีก แต่พอจบปี 2023 รู้สึกว่าท้อมันเหนื่อยแล้ว มันไม่ได้สักทีกับสิ่งที่เราทำ ประจวบกับว่าแม่วีนาก็ป่วยด้วยก็เลยไปอยู่แคนาดากับคุณแม่ ระหว่างที่อยู่ที่แคนาดาก็ทำงานเรียนไปด้วย แต่ความรู้สึกที่อยากจะทำให้ได้มันยังอยู่

เพราะเราเป็นคนที่เวลาที่ทำอะไรแล้วตั้งใจ และอยากที่จะทำให้สำเร็จ บวกกับว่ามันเป็นแรงบันดาลใจที่เราได้รับมาและเราก็รู้สึกว่ามันจะต้องมีสักวันที่เราทำได้ จนมาปีนี้ที่ตัดสินใจเลยว่าจะประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์อีกครั้ง ตอนที่บอสณวัฒน์ซื้อลิขสิทธิ์ ทุกคนรู้ว่าบอสเป็นคนที่เก่งในเรื่องของเอนเตอร์เทนเม้นท์
และวีนารู้สึกว่า มิสยูนิเวอร์สหลังหลังมานี้อาจจะต้องพัฒนาด้านนี้อยู่เรารู้สึกว่าถ้ามีความเอ็นเตอร์เทนเม้นท์เข้ามาเพิ่มจะทำให้มันกลับมาเฟื่องฟูได้เหมือนเดิม บวกกับการที่คนไทยเป็นเจ้าของอยู่แล้ว ก็รู้สึกว่ามีการเข้าถึงง่ายมากกว่ากับการเป็นมิสยูนิเวิร์ส”
มีความคิดเห็นอย่างไรกับคำว่านางงามต้องขายของ?
“วีนาอยู่กับคุณป้าตั้งแต่เด็ก แล้วคุณป้าก็จะสอนให้ค้าขายในร้านขายผ้า เรียนเสร็จกลับมาก็ต้องมาช่วยขายของ เพราะฉะนั้นเรื่องของการขายของเป็นเรื่องปกติ การขายของมันจะเกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิต มีรายได้ที่ดีขึ้น บวกกับว่าพอโตมาเราทำงานบริษัท และเปิดบริษัทของตัวเอง ไม่ว่าเราจะทำการค้าขายกับบริษัทหรือบุคคลทั่วไป มันต้องมีการขาย การแลกเปลี่ยนอยู่ดี ถามว่านางงามทำได้ไหม วีนาว่าควรทำมากๆ เพราะวีนาเห็นนางงามมาหลายรุ่นแล้ว โอเคดังได้ที่หนึ่ง สุดท้ายแล้วจบลงในหนึ่งปีไม่มีการต่อยอด

การขายของทำให้นางงามอยู่ในระยะยาวได้ มีรายได้มากยิ่งขึ้นในแต่ละปี วีนาก็เห็นด้วยเลยเพราะว่ามันเป็นการเปิดทางเลือกให้กับเด็กหลายๆ คนที่เขาอาจจะไม่ได้ที่หนึ่ง เขายังไม่มีโอกาสที่จะได้รับเงินงานเพิ่ม แต่เขาสามารถทำรายได้จากตรงนี้ทีละเล็กทีละน้อยทำให้เขาใช้ชีวิตต่อไปได้ อยากให้มองว่าการค้าขายมันคือเบสิคของชีวิต สุดท้ายเป็นนางงามหรือไม่เป็นจะต้องมีรายได้
การขายของกับการเป็นพรีเซนเตอร์ต่างกันนิดเดียว การปักตะกร้านั่งไลฟ์ขายของคุยกับลูกค้า การเป็นพรีเซ็นเตอร์คือการตั้งกล้องอัดวิดีโอแล้วคุยกัลลูกค้า แล้วก็เอาวิดีโอไปออกจามช่วงทางต่างๆ อีกทีนึง สุดท้ายแล้วสองอย่างนี้มันคือการขายเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงหรือศิลปินก็จะต้องมารับรายได้จากการขายไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการขายลักษณะไหน เพราะฉะนั้นอย่าบอกว่าการที่เรามานั่งไลฟ์ขายของปักตะกร้าใน TikTok มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยเพราะสุดท้ายมันคือสิ่งที่เดียวกัน”
อะไรที่ทำให้วีนา มาถึงจุดนี้ได้?
“การยอมแพ้พร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ เพราะวีนาได้เห็นหลายๆ คนที่เขาเจออุปสรรคและเขารู้สึกว่าเขาเหนื่อย ท้อ เขาพอแล้วดีกว่า แต่บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่าอีกก้าวหนึ่งของเขามันจะไปถึงจุดหมายที่เขาวางไว้ได้แล้ว ซึ่งความคิดนี้มันอยู่ในหัวเราตลอด ถ้าวีนาล้มเลิก แล้ววันพรุ่งนี้มันคือวันที่สำเร็จแสดงว่า 100 วันที่ทำมามันไม่มีผลประโยชน์เลยนะ เพราะว่าเรามาเลิกวันที่ 101 ทั้งๆ ที่วันที่ 102 เราจะถึงเส้นชัยแล้วอยากที่จะให้ทุกคนคิดแบบนี้ เพราะว่าถ้าเกิดเราตั้งใจพยายามยอมแพ้สักวันเราถึงจะต้องถึงฝันแน่นอน”

การเป็น มิสยูนิเวิร์สเติมเต็มความเป็นตัวตนของเรายังไงบ้าง?
“มันเป็นตัวการันตีมากกว่าว่า เราสามารถที่จะนำเสนอความเป็นไทยได้โดยที่ว่าเราเกิดในประเทศไทย ผ่านวัฒนธรรมไทย ถึงแม้คนภายนอกจะมองว่าเราไม่ใช่คนไทย

อันนี้เป็นการเปิดกว้างอีกอย่างหนึ่งว่า สังคมไทยไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศแล้วเรื่องของเชื้อชาติเราก็เปิดกว้างเหมือนกัน เราให้โอกาสทุกคนในการพรีเซนต์ความเป็นไทยสุดท้ายแล้ว คนไทยก็คือคนที่ผ่านวัฒนธรรม ผ่านประเพณี เหมือนกับวีนาที่เกิดเป็นเด็กไทยคนหนึ่ง ถึงแม้ทุกวันนี้คนยังบอกว่า อุ๊ย..คนที่เป็นตัวแทนประเทศไทยหน้าไม่ไทยเลย สุดท้ายแล้วความหน้าไทยมันอาจจะไม่ได้สำคัญ มันอยู่ที่สิ่งที่ข้างใน อยู่ที่สิ่งที่เรานำเสนอออกมาและมันก็ไม่มีคำตายตัวสำหรับคำว่าหน้าไทยนั่นเอง

ตรงนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่วีนาอยากให้เห็นว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่เคยอยู่จุดนี้และเจอสถานการณ์เดียวกับวีนาหรือว่าใครก็ตามที่ยังมีความไม่เข้าใจในความเป็นไทยเปิดใจมากยิ่งขึ้น และส่งต่อสิ่งนี้ให้คนอื่นเขาได้มีการตอบรับให้เขาได้มีการแสดงความสามารถของตัวเอง ไม่ว่าเขาจะมีเชื้อชาติอะไรก็ตาม แต่ว่าถ้าเกิดเขาเกิดในไทยก็อยากให้เขาเปิดรับและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นนั่นเองค่ะ”
