“บอลลูน พินทุ์สุดา” ก้าวเข้าวงการบันเทิง เจอดราม่าหนัก ดังเพราะสรีระ สุดท้ายผันตัวเป็นนักธุรกิจ

ถ้าพูดถึงเน็ตไอดอลยุคแรก แน่นอนว่าทุกคนต้องพูดถึงนักแสดงสาวเซ็กซี่อย่าง บอลลูน พินทุ์สุดา ตันไพเราะห์ แต่ปัจจุบันนี้เจ้าตัวได้หันหลังให้กับงานแสดง ไปทุ่มเต็มที่ให้กับธุรกิจของตนเองที่ทำร่วมกับน้องชาย

เมื่อมีโอกาสเจอสาวบอลลูน เราก็จับมานั่งพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิต ตั้งแต่เป็นเน็ตไอดอล ก้าวมาเป็นนักแสดง จนตอนนี้กลายเป็นนักธุรกิจ และเรื่องความรักที่โสด หรือไม่โสดกันแน่นในตอนนี้

บอลลูน เป็นเน็ตไอดอลยุคบุกเบิก?

 “แต่ก่อนคำเน็ตไอดอลยังไม่บูมเท่าตอนนี้ ตอนนี้เน็ตไอดอลมันมีหลายคนมากๆ เราเข้าใจว่าเน็ตไอดอลคือคนที่มีชื่อเสียงจากคนที่เขาโพสต์เป็นกระทู้ เดี๋ยวนี้คืออีกแบบหนึ่ง รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้สามารถพรีเซนต์ตัวเองได้ เมื่อก่อนที่เราถ่ายชุดว่ายน้ำต้องเรียกค่าตัวกันสุดๆ แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนก็พรีเซนต์ตัวเองถ่ายรูปลงในอินสตาแกรม จริงๆ ถ้าเราอยากให้คนอื่นมองเราในแนวไหน เราก็จะถ่ายในแนวนั้น”

แล้วคำว่า เน็ตไอดอล ในยุคนี้มองว่าเป็นยังไงบ้าง?

“ช่วงแรกๆ ไม่ค่อยเข้าใจกับมันมาก ไม่ได้ถือว่าชอบ เอาตรงๆ คิดว่ามันคืออะไร ก็คือเค้าเอารูปเราไม่ว่าจะเซ็กซี่หรือไม่เซ็กซี่ก็เอาไปลงเป็นกระทู้แล้วทุกคนก็เข้ามาคอมเม้นต์ถึงเราแบบแตกต่างกันไป เราก็เลยคิดว่าทำไมเราถึงเป็นจุดที่คนอื่นต้องมาวิจารณ์และชมเราในหลายๆ แบบ แต่พอตอนนี้ ก็รู้สึกว่าคำๆ นี้มันก็ทำให้คนนึกถึงเรา ก็ยังมีคนจำได้บ้าง”

เป็นเน็ตไอดอลก็มีทั้งคนชมและคนติ กดดันไหม ?

 “มันก็จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เค้าฮิตเอาช็อกทาผม เราก็ทาบ้าง แล้วเค้าก็เอาเราไปวิจารณ์ เราก็เข้าใจแหละเพราะว่ามันก็มีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ แต่พอมันมีเสียงแบบนี้เราก็โอเคก็จะไม่ทำแบบนั้น”

เพราะความเซ็กซี่ของเรา พอเข้าวงการมาก็ได้รับแต่งานเซ็กซี่?

 “ใช่ค่ะ ถ่ายหนังก็จะต้องเซ็กซี่ ถ่ายแบบก็รู้แล้วมันต้องเซ็กซี่อยู่แล้วก็รู้สึกแบบบางทีเราก็อยากใส่บ้างแต่ก็ใส่ไม่ได้ แต่ก่อนที่ถ่ายนิตยสารที่เป็นนิตยสารวัยรุ่น ก็จะเป็นสายเดี่ยวกางเกงขาสั้น ในสมัยนั้นคือโป๊มากแล้ว เดี๋ยวนี้เปิดกว้างมากขึ้น ถ้าเป็นสมัยก่อนก็รู้สึกว่าที่เราถ่ายเราก็อยากจะได้เป็นลุคส์ใส แต่เราไม่รู้ว่าเวลาคนที่มองเค้ามองไปในแนวไหน”

โดนดราม่าดังเพราะสรีระ โกรธไหม?

 “เราก็รู้ความสามารถตัวเอง เราไม่ได้ดีเท่าคนอื่น มันอาจจะเป็นอย่างหนึ่งที่หุ่นเราเป็นแบบนี้ มันเลยทำให้เราได้งานบางอย่างเข้ามา แต่ถ้าถามถึงความสามารถจริงๆ แล้วไม่ได้มีเท่าคนอื่นเลยค่ะ มันไม่ได้กระทบจิตใจในด้านที่เป็นพลังลบ แต่มันจะรู้สึกแค่ว่าเราไม่ได้แสดงดีเท่าคนอื่น แต่เรามีโอกาสที่มากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ เราต้องพัฒนาตัวเองให้ได้”

มันเป็นยุคที่สาวเซ็กซี่งานเยอะ?

 “ใช่ในช่วงนั้น มีทั้งหนังและละครด้วย คือเราเล่นบทเซ็กซี่ได้แต่ก็ไม่ได้เรียกว่าโป๊เปลือย ถ้าเป็นหนังที่เซ็กซี่ก็อย่างที่บอกก็จะเป็นชุดนักเรียนญี่ปุ่น ก็เซ็กซี่แบบแบ๊วๆ หน่อย มันก็จะมีความตรงกลาง แต่ถ้าแบบโป๊เลยเลิฟซีนอะไรอย่างนี้ก็ไม่ไหว อันนั้นปฏิเสธไปเยอะเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้เพราะว่าบางที ถ้าเรารับมาแล้วเรารู้แล้วว่าเราไม่ไหว สีหน้าจะออก ก็ไม่รับดีกว่าเพื่อที่จะไม่ต้องเป็นภาระคนอื่น”

งานกำลังไปได้ดี ทำไมอยู่ๆ ถึงออกจากวงการ?

 “ด้วยอายุ บทล่าสุดที่เราเล่นหนัง เรารับบทเป็นน้าของน้องยอร์ช แล้วถ้าบทต่อไปที่เราจะเล่น ถ้ามากกว่าน้า ก็คงจะพอแล้วดีกว่า”

อยากกลับไปอยู่ข้างหน้าบ้างไหม?

 “นิดๆหน่อยๆ ก็น่าสนุกดี แต่ว่างานที่ทำอยู่ก็โอเคแล้ว ชอบงานเบื้องหลังมากกว่า เหมือนกับว่าเราไม่เหนื่อยเกินไป ช่วงไหนที่งานเยอะ จะมีทีมงานเราที่ช่วยซัพพอร์ต แต่ถ้าเบื้องหน้า เราต้องตื่นเช้า เราต้องทำทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า แต่ถ้าเบื้องหลังอะไรที่หนักเกินไปเราจะมีทีมงานช่วย

 ทุกอย่างมีประสบการณ์ ทุกวันนี้ก็โอเคค่ะ เรามีอีกบทบาทหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม แต่ก่อนที่เราอยู่เบื้องหน้ามันง่ายมากเลย พออาบน้ำแต่งตัว ไปถึงเขาก็ทำให้หมด แต่งหน้าทำผม แต่พอเรามาทำเองเป็นออแกไนซ์ อยู่เบื้องหลัง ต้องเริ่มติดต่อช่างแต่งหน้าให้คนอื่น ทีมไฟ ทีมเสียงทุกอย่าง รู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ต่างกัน สาเหตุที่มาทำเบื้องหลัง เพราะว่าตอนแรกน้องชายทำบริษัทออแกไนซ์ เขาให้เราติดต่อดารา ศิลปิน เราเอางานให้น้องเยอะมาก สุดท้ายก็มาทำด้วยกัน”

สภาวะเศรษฐกิจซบเซา อีเว้นท์ลดน้อยลง การแข่งขันสูงมีผลขนาดไหน?

 “บริษัทเราโชคดีมาก ไม่รู้ว่าทำบุญด้วยอะไร ไม่ว่าจะช่วงโควิดหรือช่วงอื่นๆ ถ้าโควิดเราก็จะเป็นอีเว้นท์ออนไลน์ มีงานตลอดนะ ไม่มีช่วงไหนที่รู้สึกว่าแย่ ลูกค้าน่ารักค่ะ”

อัพเดตเรื่องอาการป่วย ลิ้นหัวใจรั่ว

 “เพิ่งรู้หลังโควิดไม่นาน เป็นลิ้นหัวใจรั่ว เท่าที่คุณหมอบอกน่าจะเป็นตั้งแต่เกิด แต่พอเราเพิ่งรู้ เพิ่งตรวจเจอเราก็ฟอลโล่อัพตามอาการ (รู้ได้อย่างไร?) เราเป็นคนเหนื่อยง่าย ทำอะไรนิดนึงก็เหนื่อย คนอื่นเค้าเดินขึ้นบันไดกี่ชั้นไม่มีอาการเหนื่อยเท่าเรา แต่เราถ้าวิ่งออกกำลังกายหรือเดินบันได เราก็จะเหนื่อยมากกว่าคนอื่น มันก็เลยเอ๊ะ..เราเป็นอะไร พอดีไปทำเลสิกตามันก็ต้องตรวจเลือดตรวจสุขภาพอยู่แล้ว เราก็เลยตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ พอตรวจออกมาคุณหมอก็เอ๊ะผิดปกติ เราคิดว่าเราตรวจเลือดมาตลอดนะก็ตรวจสุขภาพ แต่ก็ไม่ได้ลงลึกไปถึงเอคโค่หัวใจ คุณหมอให้ตรวจเพิ่ม เลยรู้ว่าเราเป็นเลือดหัวใจรั่ว แต่ช่วงที่เจอก็เคยอยู่ในแบบกลางๆ หลังจากนั้นมาตอนนี้ก็คือเป็นหนักสุด”

วิธีรักษา?

“วิธีการรักษาคือการผ่าตัด สมัยใหม่ตอนนี้คือจะเป็นการผ่าแผลเล็ก เมื่อก่อนคือเปิดตรงกลางแล้วเลาะซี่โครง น่ากลัวมาก เราก็โชคดีที่เจอ ฟิล์ม รัฐภูมิ เพราะว่าเค้าเพิ่งผ่าไป เค้าผ่าแผลเล็ก เค้าก็เลยแนะนำคุณหมอให้ พอคุยก็โอเคไม่ได้น่ากลัวแบบที่เราคิดไว้ คือผ่าตัดหัวใจมันเป็นความเสี่ยงกว่าทุกอย่างในร่างกาย ถ้าวันนึงเราไม่ไหวจริงๆ เราก็แค่เดินไปหาคุณหมอแล้วเราบอกว่าคุณหมอผ่าให้หน่อยค่ะไม่ไหวแล้ว แต่ตอนนี้เรายังไหวอยู่ ก็โอเคค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้กินยาตอนแรกก็กินยามาตลอด อันนี้ก็คือเป็นยาที่ประคองอาการ แต่พอทานไปเรื่อยๆ คุณหมอก็บอกว่าการทานยากับไม่ทานยา มันก็เป็นอาการที่ใกล้เคียงกัน คือยาไม่ได้ช่วยอะไรเราเยอะ ถ้าเราไม่อยากทานยาเช้าเย็นทุกๆ วัน เราลองไม่ทานก็ได้ เหมือนเราเป็นตั้งแต่เกิด แล้วเราชินในการใช่หัวใจอันนี้ตั้งแต่เกิด ร่างกายมันก็ตามหัวใจ”

ถึงจะเป็นลิ้นหัวใจรั่ว แต่เรื่องของความรักตอนนี้เป็นยังไง สดใสไหม?

 “ไม่มีเลยค่ะ อันนี้ทำให้หัวใจเป็นหนักขึ้น เป็นศูนย์เลยค่ะ มันเหมือนโตขึ้นเยอะเราก็เจออะไรมาเยอะ เลยอยากดูให้ดีๆ (บอลลูนคือสาวฮอตที่สุดในวงการในยุคนั้น?) เลยเป็นแบบนี้มั้ง ใช้แต้มบุญไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็เลยอยู่คนเดียว

 ณ ตอนนี้ เราก็ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย เรื่องครอบครัวที่บ้านคุณพ่อคุณแม่หรือว่าน้องชายโอเคและทุกอย่าง ไม่มีอะไรไม่ดีเลยทุกอย่างโอเค น้องชายแต่งงานมีลูกที่น่ารักมีภรรยาที่แสนดี คุณพ่ออยู่กับคุณแม่อย่างมีความสุข ทำไมเราอยู่คนเดียว ตอนนี้แยกมาอยู่บ้านคนเดียว ที่บ้านก็คือจะแยกเป็นสองบ้านอยู่ในบริเวณเดียวกัน อยู่คนละหลังกัน แต่เราแยกออกมาอยู่อีกพื้นที่หนึ่งเลย

 ก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันเพอร์เฟคแล้วทุกอย่างลง โอเคดี เรื่องงานก็โอเคมีทีมงานที่น่ารัก มีลูกค้าที่น่ารักมาก ที่แบบให้เราตลอด เพื่อนก็ดีเพื่อนไม่มีใครไม่ดีเลย เรื่องเดียวในชีวิตคือความรักค่ะ เรารู้สึกยังงั้นจริงๆ เพราะเราเป็นคนที่ไม่ได้อยากมีอะไรขนาดนั้น แค่ทำงานแค่นี้เราโอเคแล้ว เราอยากได้อะไรเราก็ได้ เราไม่ได้ขวนขวายขนาดนั้นเป็นคนที่อยู่กับความเป็นจริงมาก และความรักเป็นเรื่องเดียวเลยที่เราไม่ประสบความสำเร็จ เราก็เป็นเรื่องเดียวที่เราก็คิดว่าทำไมมันไม่สำเร็จสักที ทุกอย่างโอเคแต่ทำไมเรื่องนี้มันถึงไม่สำเร็จ เราก็คิด”

Related posts

Leave the first comment