เป็นศิลปินมากความสามารถ ที่ไม่ว่าจะปล่อยเพลงอะไรออกมา ต่างก็ได้รับการตอบรับที่ดี สำหรับ “บิ๊ก D Gerrard” หรือ ไบรอัน เจอร์ราร์ด อุกฤษ วิลลีย์ บรอด ดอนกาเบียล เจ้าของเพลงดังอย่าง กาแล็คซี่(GALAXY) ซึ่ง D Gerrard ไม่ได้โดดเด่นเฉพาะงานเพลงเท่านั้น ในด้านงานแสดงเขาก็เป็นที่พูดถึงเช่นกัน

เมื่อมีโอกาสเจอ D Gerrard ก็ได้คุยกันถึงเรื่องราวชีวิตของเขาตั้งแต่ก้าวแรกของการเข้ามาเป็นศิลปิน จนล่าสุดประกาศตัวอย่างเป็นทางการว่า เขาคือ เอเลี่ยน
ก่อนจะมาเป็น บิ๊ก D Gerrard ที่หลายคนรู้จัก ชีวิตลำบากมากเยอะ?
“ก่อนที่ผมจะมาเป็น D Gerrard ผมทำงานมาเยอะมาก ผมขายพลอยมาก่อนเป็นรีเซฟชั่นโรงแรมมาก่อน ผมก็เหมือนคนทั่วไปหาเช้ากินค่ำ แต่รักในเสียงดนตรีก็เลยไปร้องเพลงเปิดหมวก ทำอยู่นานมาก เล่นร้านเหล้า 4 ชั่วโมงได้เงิน 300 บาท ผมฝ่าฟันด่านของการทำงานมาเยอะมาก กว่าที่เราจะได้ทำตามฝัน จนสำเร็จมาระดับนึงเหมือนเช่นตอนนี้

แต่ถ้าเกิดย้อนไปอีกตอนเด็ก ผมก็เป็นเด็กที่ร่าเริง แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ความร่าเริงหายไปเพราะว่าผมเจอแต่ความเศร้าในชีวิต เจอแต่ความทุกข์ในชีวิต แต่ก็กลับมาได้ด้วยดนตรี ตอนนั้นผมเกิดความสูญเสียต่าง ๆ นาน ถูกบูลลี่ ถูกสังคมกลั่นแกล้ง ครอบครัวไม่อบอุ่น มีหลายเรื่องเกิดขึ้นในครอบครัวผมตอนเด็ก
กว่าที่เราจะรู้สึกว่าเราดีขึ้นมีกำลังสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ตอนนั้นก็อายุ 20 ต้น ๆ แล้วครับ ผมทำงานหาค่าเทอมเอง เพราะว่าพ่อบอกว่าเงินของเค้าไม่ใช่เงินผม ถ้าเกิดอยากมีเงินต้องสร้างเอง ผมต้องยืมเงินพ่อถ้าเกิดต้องการที่จะใช้อะไรแต่ละครั้ง มันคือเทคนิคการสอนของพ่อผมครับ”
อะไรที่ทำให้เรารัก เสียงเพลง?

“เพราะว่าผมเป็นคนอยากมีเพื่อน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาผมพูดหรือสื่อสารอะไรกับคน คนจะมองข้ามผมตลอด แกล้งผม เวลาผมพูดเหมือนคนไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมอธิบาย แต่มันมีช่วงเวลาหนึ่งที่คนฟังผมคือตอนที่ผมร้องเพลง เวลาที่ผมร้องเพลงเค้าจะฟังแล้วเค้าก็อยากที่จะฟังอีกบอกผมร้องอีก เลยรู้สึกว่าเราถูกสนใจ เรากลายเป็นที่สนใจขึ้นมา จากที่การเราร้องเพลง อยากที่จะใช้มันเพื่อสร้างเพื่อนให้มากขึ้น ผมอยากมีเพื่อนครับ”
อะไรที่ทำให้ตัดสินใจเดินทางเข้ามาประกวดร้องเพลง?
“ผมอยากมีเพลงของตัวเอง แต่ว่าผมเขียนเพลงไม่เป็นก็คิดว่าเราต้องหาคนเขียนเพลง แต่ผมไม่มีคอนเน็คชั่นส์เลย แล้วไปเจอคุณครูคนหนึ่งบอกว่าการเขียนเพลงมันง่ายนะ มันเหมือนการเขียนเรียงความ โชคดีมากผมเป็นคนที่ชอบเขียนเรียงความ ผมเขียนบันทึกประจำวันบ่อยมากตั้งแต่เด็ก เอาสิ่งที่เขียนมาใส่ดนตรีเข้าไปมันก็กลายเป็นเนื้อร้องทำนองขึ้นมาจริง ๆ

พอมีเพลงของตัวเองแล้ว เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราคือศิลปินหรือยัง เพื่อนบอกว่ายัง ถ้าเกิดเป็นศิลปินคือต้องมีเพลงเป็นของตัวเองและมีคนรู้จัก จากนั้นผมก็ไต่เต้ามาเรื่อย ๆ จนเมื่อช่วง 8-9 ปีที่แล้วผมประกวดรายการ The X Factor Thailand ผู้คนก็ได้เห็นผมแล้วสงสัยว่าคนนี้คือใคร ร้องเพลงดีจังเลย ประเด็นสำคัญคือมันร้องเพลงอะไรเค้าไม่เคยได้ยินเลย
ซึ่งเพลงนั้นเป็นเพลงที่ผมเขียนเอง ทำให้คนได้เห็นว่าผมสามารถเขียนไปเองได้ ความเป็นศิลปินก็เริ่มฉายออกมาให้คนได้เห็นมากขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น”
หลังจากที่หลายคนรู้จักเราในนามของ D Gerrard เพื่อน ๆ ว่าอย่างไรบ้าง?
“มันคือจุดเริ่มต้นครับ เพราะว่าพอเรามาเป็นศิลปินแล้ว เราไม่รู้ว่าเรามาเป็นศิลปินเพื่ออะไร มันสำคัญมาก มันอาจจะเป็นอาชีพที่ตัวเองใฝ่ฝันมาตลอดแต่เราเป็นเพื่ออะไร เราทำสิ่งนี้เพื่ออะไรสำคัญมาก ณ ตอนนั้นผมไม่รู้

เบื้องต้นที่อยากเป็นศิลปินเพราะเราอยากมีเพื่อน พอได้เป็นศิลปินแล้วยังไงต่อ คราวนี้มันมาถึงจุดที่เราต้องเดินต่อแล้ว เป็นมันให้ดีที่สุด เป็นให้สมกับคำว่าศิลปินจริง ๆ การเป็นศิลปินคือการทำเพื่อคนอื่นเพราะเราเป็นบุคคลสาธารณะ การที่เรามีอิทธิพลต่อคนอื่นมันสำคัญมาก เพราะฉะนั้นมันควรเป็นอิทธิพลในทางที่ดีเพื่อให้สังคมมันดีขึ้น อันนี้คือสิ่งที่ผมคิดจากการที่ได้มาอยู่ตรงนี้”
ตอนที่ก้าวมาเป็นศิลปินแรก ๆ เราทำตัวถูกไหม?
“ตอนแรกผมไม่รู้ก็ใช้ชีวิตเหมือนล็อกสตาร์ แล้วก็ไม่มีใครมาบอกผมด้วยว่าการเป็นศิลปินที่ดีมันจะต้องเป็นยังไง ผมเลยทำตามภาพในหนังที่เคยเห็น สนุก ปาร์ตี้ สุดท้ายมันไม่ตอบโจทย์ผม ผมเลยกลับมาย้อนคิดว่าถ้าเราทำผิดอยู่ล่ะ ถ้าเรามาผิดทางอยู่เราจะต้องทำยังไง ผมก็เลยวนกลับไปในทางเดิมที่ผมมา แล้วก็ไปทางใหม่คือไปหนทางที่ดีขึ้น

ผมบอกว่าทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองเป็นเหมือนกระจกส่องกัน เพื่อที่จะทำให้สังคมดีขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ดังนั้นหน้าที่ของศิลปินคือเป็นกระจกบานใหญ่หน่อยที่ช่วยทำให้คนเห็นว่าการเป็นแบบอย่างที่ดีจะทำให้ชีวิตเราเจริญขึ้นนะ
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญของการเป็นศิลปินคือต้องยืนระยะเหมือนนักมวย คือต้องปล่อยหมัดตลอด ถ้าล้มก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่สู้ต่อไป เราก็สู้ต่อ จนมาถึงช่วงหลังโควิดนิดนึงผมได้มีโอกาสมาแสดงหนัง”
จากการเป็นนักร้องมาเป็นแสดงรู้สึกยังไงบ้าง?

“สนุกมากครับ มันเติมเต็มชีวิตผมมากเลย การร้องเพลงของผม เปรียบเหมือนการกินข้าว เรากินข้าวไปเรื่อย ๆ มันก็แค้นคอกลืนข้าวไม่ลง เราก็ต้องกินน้ำ ผมเจอน้ำของผมแล้วก็คือการแสดง และผมเพิ่งจะไปถ่ายหนังต่างประเทศมา คราวนี้เริ่มก้าวสู่เวทีสากลถ่ายหนังต่างประเทศ เป็นหนังของประเทศเยอรมัน แต่ก็ต้องรอดูนะครับมันกำลังจะมา น่าจะได้ดูกันทาง Netflix นอกจากนี้ก็มีหนังที่ทั้งทำเอง และของค่ายอื่น ๆ อีกครับ”

