ในยุคที่ทุกคนเร่งรีบ ทำงานหนัก พยายามจะสำเร็จให้ไวขึ้นทุกวัน การมานิเฟสต์ (Manifestation) กลับชวนให้เราผ่อนความเร็วลง แล้วหันมาจัดระเบียบจิต เชื่อมโยงกับตัวเองและเป้าหมายภายในใจเราแทน

Manifestation คืออะไร?

หลายคนคิดว่ามานิเฟสต์เป็นเรื่องของการขอพร หรือการอธิษฐานให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้น แต่จริงๆ แล้ว มันคือการมีสติและตระหนักรู้เจตนาในสิ่งที่เราคิดและทำ คือการกำหนดทิศทางของชีวิตด้วยพลังของความคิด อารมณ์ และการกระทำที่สอดคล้องกัน เราไม่ได้จะไปบังคับให้จักรวาลมอบอะไรมาให้ แต่เรากำลังจูนพลังของตัวเองให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการ เหมือนเวลาปรับคลื่นวิทยุที่ถ้าคลื่นถูกต้อง เสียงก็จะชัดเจนขึ้น ชีวิตเราก็เช่นกัน ถ้าใจ ความคิด และการกระทำไปในทิศทางเดียวกัน ก็จะนำมาซึ่งทางเดินชีวิตที่ชัดเจนและไหลลื่น
พลังเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน
การใช้ชีวิตแบบมานิเฟสต์เริ่มจากการรู้ตัวว่าเรากำลังคิดหรือรู้สึกยังไง เปรียบกับว่าตัวเราเป็นแม่เหล็กที่ถูกตั้งค่ามาให้ดึงดูดสิ่งไหน ก็จะได้รับสิ่งนั้นเข้ามา ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ หากตื่นเช้ามาคุณเริ่มวันด้วยการไถมือถือ ดูชีวิตคนอื่น แล้วเผลอเปรียบเทียบตัวเอง คุณก็เริ่มวันด้วยพลังของความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและความไม่พอ ส่งผลให้อึมครึมไปทั้งวัน ทำอะไรก็ติดขัดเพราะจิตใจไม่พร้อม กระทบไปถึงสิ่งอื่นๆ รอบกาย

แต่ถ้าคุณเริ่มวันด้วยความรู้สึกด้านบวก ความยินดีที่ได้ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต ได้จิบกาแฟที่ชอบ ย่อมให้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไปแน่นอน โดยอาจลองเริ่มจากสิ่งเล็กๆ เช่น การจัดโต๊ะให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อความปลอดโปร่ง สบายตาสบายใจ เป็นจุดเริ่มต้นของมวลพลังงานดีๆ
การเขียนเป้าหมายหรือสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น ในทางหนึ่งมันมีส่วนช่วยในการวาดภาพอนาคต และช่วยเตือนใจให้ตระหนักถึงการเลือกกระทำสิ่งต่างๆ ที่มีผลต่อการไปถึงจุดเป้าหมายหรือความต้องการของเรา รวมไปถึงการพูดดีกับตัวเอง ใจดีกับตัวเองให้มาก สิ่งเล็กๆ เหล่านี้เปรียบเสมือนพลังที่เราส่งออกไป และมันจะค่อยๆ สะท้อนกลับมาหาเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
จากภาพฝันสู่การลงมือทำ
การถามตัวเองว่า ฉันต้องการอะไร? ถ้าฉันได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว วันนี้ฉันจะใช้ชีวิตยังไง? ฉันจะเลือกอะไรต่างไปจากเดิมไหม? แล้วฉันจะหยุดกังวลเรื่องอะไรได้บ้าง? อาจดูเป็นคำถามเพ้อฝันและดูเป็นปรัชญาในสายตาใครหลายคน แต่คำถามเหล่านี้นำมาซึ่งการคิดและการเข้าใจตนเอง เกิดเป็นภาพตัวเราในเวอร์ชันที่ดีที่สุด หรือ เวอร์ชันที่เราต้องการจะเป็น ซึ่งการดึงเอาภาพในหัวของเราออกมาเป็นบอร์ดที่จัดเรียงภาพสวยๆ และคำพูดให้กำลังใจดีๆ นอกจากจะช่วยขับเน้นให้สิ่งที่อยู่ในหัวของเราเด่นชัดขึ้นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้ความคิดเรานำไปสู่การกระทำอีกด้วย

ทั้งนี้ การมานิเฟสต์ไม่ใช่แค่เชื่อเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการพยายามนำพาตัวเองไปสู่การเป็นคนคนนั้นตามความคิด ความคาดหวังของเรา นี่แหละคือการจัดแนวพลังให้ตรงกับสิ่งที่เราต้องการ เพราะสุดท้ายจักรวาลจะช่วยเราได้ต่อเมื่อเราเริ่มสื่อสารกับมันก่อน ผ่านการลงมือทำทั้งในทางความคิดและการกระทำ
อย่ามองข้ามการปล่อยวาง

หลังจากตั้งเป้าหมาย ตั้งสิ่งที่ต้องการ และลงมือทำแล้ว ส่วนที่ยากที่สุดคือการปล่อยให้มันเป็นไป คุณต้องเชื่อว่าสิ่งที่ใช่จะมาเอง และสิ่งที่ไม่ใช่จะค่อยๆ หายไปเองเช่นกัน การจมอยู่กับความสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้จริงไหม หรือความหมกมุ่นว่าเมื่อไหร่มันจะมาถึง มีแต่จะทำให้พลังงานของเราสับสน การปล่อยวางในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้ แต่มันคือการเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่าสิ่งดีๆ กำลังเดินทางมาหาเราอยู่ และมันจะมาถึงเราในท้ายที่สุดอย่างแน่นอน
ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

เริ่มง่ายๆ ด้วยการตั้งเป้าหมาย คิดถึงสิ่งดีๆ ในตอนเช้า กระตุ้นพลังงานดีในตัวเอง ก่อนนอนอาจลองเขียนเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เน้นย้ำกับตัวเองว่ามีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับตัวเรา และจินตนาการภาพชีวิตในแบบที่อยากมีไม่ต้องมาก สัก 2-3 นาทีต่อวันก็พอ
เมื่อคุณฝึกให้สิ่งเหล่านี้จนกลายเป็นนิสัย ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่คุณตั้งมั่นอย่างดีและเป็นไปตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องว้าวุ่นมากเกินไป

เมื่อความคิด พลังงาน และการกระทำของคุณอยู่ในระนาบเดียวกัน คุณจะตระหนักรู้ได้ว่าพลังที่นำคุณไปสู่เป้าหมายและความต้องการนั้นอยู่ในตัวคุณมาโดยตลอด


