การกลับมาทำเพลงอีกครั้งในฐานะศิลปินเดี่ยว “กิฟท์ซ่า-ปิยา“ ตำนาน 4 สาววง “Girly Berry“ วันนี้ได้พูดคุยร่วมสัมภาษณ์กับนักร้องสาวถึงการกลับมาซิงเกิลเดี่ยวครั้งนี้ รวมถึงการได้รับฟังเธอเล่าเรื่องเพื่อย้อนวันวานไปถึงสมัยที่วง Girly Berry โด่งดังเป็นพุ่งแตก และเป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปที่อยู่ด้วยกันมานานถึง 13 ปี

ระยะเวลาที่หากหายไปจากการทำเพลง?
“10 กว่าปี สาเหตุที่ทำให้เรากลับมาทำเพลง เพราะอยากที่จะร้องเพลงอีกครั้ง คือการกลับมาของวง ‘Girly Berry‘ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่าน เราได้เล่นคอนเสิร์ต ได้ไปเจอกับแฟนๆ ทั้งแฟนคลับกลุ่มเดิมๆ ที่คุ้นหน้ากัน และแฟนๆ ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น ช่วงหลังเราไลฟ์สดก็มีแฟนหลายคนที่เราไม่เคยรู้จักเขามาก่อน มาสื่อสารกับเราทำให้เรารู้สึกว่าในเส้นทางของการเป็นศิลปินมีทางที่จะเดินไปได้อีกไกลเหมือนกันนะ เราเลยมีไฟที่จะทำขึ้นมาเลยเป็นที่มาของ กิ๊ฟ ซียู (GIFT C YOU)”

การกลับมาร่วมทำเพลงกับเพื่อนๆ ในวง?
“เราเคยคุยเรื่องนี้กันมาแล้วทุกคนก็มีสิ่งที่อยากทำ เค้าคิดว่าการทำเพลงมันยังไม่ใช่ตอนนี้สำหรับเขา ตอนที่กิฟท์ลุกขึ้นมาทำเพลง ถามว่ากลัวไหม กลัวอยู่แล้ว แต่เราต้องเดิน สุดท้ายถ้าเกิดเราไม่เดินมันก็จะถอยนะ
ถ้าเป็นเมื่อห้าปีที่แล้ว ถ้าเราไม่เดินคือเราอยู่เฉยๆ ถ้าเกิดเป็น 10 ปีที่แล้ว ถ้าเราไม่เดินบางครั้ง มันเหมือนมีลมอะไรมาพักหลังเรา แต่ทุกวันนี้ ถ้าคุณไม่เดิน คือคุณถอยหลังนะ เพราะมีคนที่วิ่งอยู่ตลอดเวลา และวิ่งยิ่งกว่ามาราธอน 4X100 อยู่ข้างคุณเต็มไปหมดเลย แต่คุณมองไม่เห็นมันอยู่ในอากาศค่ะ นั่นคือเหตุผลที่เราตัดสินใจทำในสิ่งที่หลายคนมองยาก เราตัดสินใจทำในสิ่งที่หลายคนมองว่ามันเป็นไปไม่ได้”

คิดอย่างไรสมัยที่เป็น Girly Berry ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปที่อยู่มานานมาก?
“เป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่อยู่ด้วยกันนานมากที่สุดในประเทศไทย เรามีเพลงใหม่ตลอดเราทำอัลบั้มใหม่ตลอด 13 ปี ตอนที่เราแยกตัวกันไม่ได้มีใครทะเลาะกัน เพราะว่ามันเลยจุดนั้นมาแล้ว อัลบั้มที่แจ้งเกิด Girly Berry คืออัลบั้มที่สอง ‘Very Girly’ เป็นเพลงฟังสบาย เต้นได้ แต่ท่าเต้นไม่ต้องแข็งแรง เพลงน่ารักๆ เสื้อผ้าหน้าผมอยากได้แบบสบายสบาย เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น ถ่ายเอ็มวีที่สยาม ตอนนั้นเราอายุ 19 ปี จำได้ว่าพอทีเซอร์เพลง ‘ตุ๊มต่อม’ เพลงแรกของอัลบั้มนี้ออกมา หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงคนพูดถึงหมดเลยทั่วประเทศ เรียกว่าดังข้ามคืน”
วง ‘Girly Berry’ ตอนนั้นมันเป็นกราฟขึ้นไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาหลายปี เราแค่รู้สึกว่านี่หรอชื่อเสียง สิ่งนี้หรอคือความนิยมเราพยายามที่จะเรียนรู้กับมัน ด้วยความที่เราอายุไม่ได้เยอะมาก แต่ละคนก็จะมีวิธีในการรับมือหลากหลายรูปแบบ
เราทำงานไปเรื่อยๆ มันเป็นการทำงานไม่มีวันหยุด มันเป็นงานโชว์บวกกับการออกสื่อเป็นอย่างนั้นมาแบบแน่นๆ ประมาณ 5 ปี และเมื่อไหร่ที่ออกซิงเกิลใหม่งานก็จะยิ่งแน่นมากขึ้นไปอีก”

เรื่องที่ถูกติมากที่สุดของ Girly Berry คือความเซ็กซี่ แต่ทุกซิงเกิลใหม่จะเซ็กซี่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะอะไร?
“ไม่แผ่วเลย คนพูดยิ่งขึ้น ต้องบอกก่อนว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ของ ‘Girly Berry’ คนที่ว่าเป็นคนที่ดู คนที่ด่าคือคนที่ซื้อ คนที่ไม่ชอบแต่พอเวลามีงานจ้างไปผับต่างๆ เขาก็ไปรอดูกัน พอมันเป็นอย่างนั้น ถ้าเกิดเขาชอบในมุมมองของความเซ็กซี่ของความเป็น Girly Berry เราก็นำเสนอสิ่งนั้นในวัยที่เราเติบโตมาเรื่อยๆ”

สาเหตุที่วง Girly Berry ไม่ได้ไปต่อ?
“ก่อนหน้านี้เริ่มที่จะมีสิ่งที่แต่ละคนอยากทำ เรื่องวงก็จะกลายเป็นเรื่องรอง พอมันเป็นแบบนี้แล้วทุกอย่างมันจะก็กลายว่าฉันจะทำแบบนี้ เดี๋ยวจะมาซ้อมทีหลัง หรือในการทำงานเพลงหนึ่งอัลบั้มจะต้องมีเวลาซ้อมจันทร์-พฤหัสบดี เหลือแค่พุธ-พฤหัสบดีที่จะซ้อม ส่วนวันจันทร์-อังคาร เราก็ไปทำเรื่องส่วนตัวของเรากัน ทำให้ปีท้ายๆ ที่เราทำซิงเกิลฟิเจอริ่ง บวกกับสถานการณ์วงการเพลงมันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากอันเดอร์ล็อคมาเป็นดิจิตอลอยู่แล้ว
พอดิจิตอลมันปรับเร็วขึ้นจากซีดีมาเป็น MP3 จากสิ่งที่จับต้องได้ก็กลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ มันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในแง่ของธุรกิจ และเราโตขึ้นแล้วจะทำยังไงต่อมันหลายองค์ประกอบรวมกัน อยู่แบบไม่ค่อยมีเวลากันซักประมาณปีที่ 7 แล้วเรามานั่งคุยกันกลายเป็นการตกลงกันว่าเราจะไม่เซ็นสัญญาต่อในปีที่ 13 แล้วเราก็เลยแยกย้ายกันไปในเส้นทางของตัวเอง”

วันที่ไม่มีวง Girly Berry เป็นอย่างไรบ้าง?
“มันยากมาก ตอนแรกเราก็คิดว่าโอ้โห..เราขนาดนี้ พอเราไม่มีค่ายเราต้องทำได้สิ แต่พอเอาก็จริงมันไม่ใช่เลย เราต้องเริ่มใหม่หมดในเส้นทางนักแสดง รู้จักคนใหม่ ทำตัวแบบใหม่เป็นนักแสดงทำตัวคนละแบบกับ คือเราสามารถพูดได้เลยว่า เราอาศัยชื่อของการเป็น ‘Girly Berry’ ในการทำงานต่อในวงการบันเทิง
เราหมดสัญญากับค่ายตอนอายุ 35 ปี หลังจากนั้นที่เราทุ่มกับงานแสดง เราใช้บุญเก่าคือใช้ความเป็น Girly Berry รายได้น้อยลงแน่นอน เนื่องจากงานโชว์ก็ไม่ได้รับ
ตอนช่วงนั้นมันไม่มีอะไรลงล็อก มันเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ลงล็อกสำหรับเราด้วย แล้วเราจะเอายังไงดีกับเส้นทางของเราในวงการบันเทิง เราอยากเป็นนักนักแสดงแต่เราเริ่มต้นช้าในบทบาทของนางเอกหรือบทอื่นๆ แล้วตอนนั้นช่องก็มีการสร้างเด็กของตัวเอง ถ้าบทเด่นๆ ช่อง ก็จะใช้เด็กของตัวเอง ทุกอย่างมันดูไม่ถูกที่ถูกเวลา ไม่เหมือนตอนออกซิงเกิล ตุ๊มต่อม ตอนนั้นไทม์มิ่งดีที่สุด อาจจะเป็นไทม์มิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเราเลยในตอนนั้น มันก็เป็นช่วงเวลาที่เราต้องต่อสู้อยู่ 5 ปี”

ช่วงที่ กิ๊ฟท์ซ่า-ปรียา หายจากองค์การ?
“เราทำงานมาเรื่อยๆ แล้วไม่รู้ว่าเรามีเป้าหมายไปทางไหน มันกลายเป็นว่าเราใช้บุญเก่ามาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งมันหมด กลายเป็นว่าเราหาทางที่จะยืนอยู่บนเส้นทางบันเทิงได้ไม่โดดเด่น มันกลายเป็นว่าเราจมไปเลยทั้งๆ ที่ตอนนั้นเราก็มีละครช่อง7 มีรายการทีวี แต่นานๆ จะมาทีในฐานะว่าคนนี้คือ ‘กิ๊ฟท์ซ่า ปรียา’ หรือ ‘กิ๊ฟท์ซ่า Girly Berry’”

จากจุดสูงสุด ถึงจุดที่แทบไม่มีตัวตนอยู่ในวงการ รู้สึกอย่างไร?
“เราอาจจะสู้ไม่ได้แล้วมั้ง อาจจะสู้คนอื่นไม่ได้แล้วหรือเราอาจจะโตไปแล้ว จนได้มาทำธุรกิจแล้วมาเรียนรู้กว่าที่จะมาจับทางได้ก็นาน ธุรกิจเริ่มต้นได้ 4-5 ปี เราทำหลายธุรกิจหลายอย่างเริ่มพร้อมกันหมด เพราะว่าพอเราออกมาจากจุดที่เราเป็นนักร้องแล้วมาทำธุรกิจ
โชคดีที่ได้เจอที่ปรึกษาทางนี้โดยเฉพาะ เขาแนะนำในสิ่งที่เราก็ยังไม่รู้ แนะนำว่าเราควรเดินทางสายธุรกิจแบบไหน ตอนที่เริ่มต้นมามันลำบากกว่า วันที่เราลำบากตอนที่ไม่มีงานอีกนะ เพราะในวันที่เราไม่มีงานเราอยู่เฉยๆ ไม่ต้องสู้กับอะไรเลย
นาทีนี้ต้องเดินหน้าเท่านั้นห้ามหยุด ไม่มีเวลาให้ล้ม ถ้ารู้ตัวว่าล้มตัวใกล้แตะพื้นแล้วรู้ตัว ต้องหาทางดีดตัวขึ้นมาเลย”

